Balkan Review : ตะลุยบอลข่าน เก็บเมืองมรดกโลก

หลังจากที่เขียนเจาะลึกแต่ละกลุ่มประเทศไปแล้ว เพลินก็อยากจะมาขมวดให้กระชับอีกทีสำหรับคนที่อยากจะรู้ Route และการเตรียมตัว หรือภาพรวมของดินแดนบอลข่านอันงดงามมีเสน่ห์นี้

 

บอลข่านเป็นกลุ่มประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน มีน่านน้ำสำคัญคือทะเลอาเดรียติก มีภูมิประเทศ วัฒนธรรม และเชื้อชาติคนใกล้เคียงกัน มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน

และที่สำคัญกลุ่มประเทศแถบนี้มีความเป็นมายาวนานพันปี อารยธรรมเก่าแก่มากมาย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO แทบทั้งนั้น เพลินก็เลยจะพามาชมและทำความรู้จักค่ะ

อ้อ แต่ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในบอลข่านแต่เพลินพาแวะคือ ออสเตรีย นะคะ เพราะทริปนี้เริ่มต้นที่ออสเตรียค่ะ แต่ถึงจะเริ่มออสเตรีย เราก็พาไปชม World Heritage หรือมรดกโลกนะคะ

ทริปนี้เริ่มต้นที่ Austria – Slovenia – Croatia – (Bosnia) – Montenegro – Austria

เริ่มจากนั่งเครื่องไปลงเวียนนา ประเทศออสเตรีย สายการบิน Austrian Airlines 
สาเหตุที่ไม่ลงสโลวิเนียหรือโครเอเชียก่อนเพราะไม่มีไฟลต์ตรงค่ะ เราก็เลยถือโอกาสแวะเที่ยวออสเตรียกันก่อน

การเดินทางในทริปนี้เพลินเช่าทัวร์ต่างหาก เป็นกึ่ง Private Tour ค่ะ คือคนกลุ่มเล็กกันเอง และเช่าทัวร์ที่มีหัวหน้าทัวร์และคนขับรถ ไปในเส้นทางที่เค้ามีกำหนดไว้ให้ แต่เราสามารถเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนได้เล็กน้อยค่ะ จะต่างจากทัวร์ธรรมดาปกติทั่วไปที่คนเยอะ เส้นทางฟิกซ์ไว้แล้ว และต่างจาก Private Tour หรือทัวร์ส่วนตัวที่เลือกโปรแกรมเองหมดเลยคือแบบนี้จะเลือกปรับเปลี่ยนได้เล็กน้อยค่ะ

เรียกว่าสไตล์แพคเกจทัวร์หน่อยๆ ก็พอได้ค่ะ

  1. Vienna – Graz (Austria)

มาถึงเวียนนาเช้าตรู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังเย็นสบายราว 17-18 องศา มีแดดนิดๆ ใส่เสื้อแขนยาวและมีเสื้อคลุมบางๆ ทับก็กำลังโอเค จากเวียนนาแวะทานอาหารเช้าง่ายๆ ก็นั่งรถต่อไปเมือง Graz ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง

IMG_4088

 

คนไม่ค่อยรู้จัก Graz (กราซ) ทั้งที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก Vienna Graz เป็นเมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง และขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมของยุโรปด้วยค่ะ
(Cultural City of Europe)

                    ปี 1999 UNESCO ขึ้นทะเบียนรับรองเป็นเมืองมรดกโลก
                    ปี 2003 ได้รับเลือกเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรป

บ้านเมืองที่นี่สวยงามเมืองไม่ใหญ่มาก กระจุ๋มกระจิ๋ม แต่เรียบร้อยสะอาดตา เสียแต่มีสายรถรางไฟฟ้าระโยงระยางเต็มเมือง จะถ่ายรูปอะไรก็ติดสายไฟหมดเลยค่ะ

graz_edit1.jpg

แวะเดินเล่นในเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ก็ต้องใช้เวลาเดินพอสมควร แต่อากาศดี มีแดดเลยเดินได้เรื่อยๆ เลียบแม่น้ำเมอร์ ไปจนข้ามสะพาน จากสะพานมองไปเห็น Murinsel เกาะจำลองกลางน้ำรูปเปลือกหอย เป็นทั้งลานกิจกรรมและร้านอาหาร ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญอีกแห่งของกราซเลย

graz_edit4.jpg

อ่านรีวิวเที่ยวกราซฉบับเต็มได้ที่ Graz – Cultural City of Europe ความงามเล็กๆ ที่ซ่อนในเมืองใหญ่
(จุใจกว่าเยอะ)

 

2. Graz (Austria) – Bled (Slovenia)
จากกราซเรานั่งรถประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ข้ามชายแดนออสเตรียมาสู่ประเทศสโลวิเนีย มาเมืองที่เป็นไฮไลต์ที่เพลินรอคอย นั่นคือเมืองเบลด (Bled) เพื่อล่องเรือในทะเลสาบเบลด ชมปราสาทเบลดและโบสถ์กลางน้ำ แวดล้อมด้วยทิวทัศน์ใบไม้ร่วง

DSC07687.jpg

อากาศกำลังดี เย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป น้ำใสแจ๋ว ล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์อยู่ไกลๆ เบลดจึงได้ชื่อว่าเป็น “ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์” 

บรรยากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อน จึงเคยเป็นสถานที่ตากอากาศของนโปเลียน และนายพลติโต อดีตผู้นำยูโกสลาเวียก็มีบ้านพักอยู่ที่นี่ และบ้านหลังนั้นก็ยังมีอยู่ให้เห็น

เรานั่งเรือ Pletna ไปถึงเกาะกลางทะเลสาบ เดินลัดเลาะเลียบไปรอบเกาะ มองเห็นฝั่งอยู่ลิบๆ และปราสาทอีกฝั่งฟาก น้ำใสสีเขียวอมฟ้า

IMG_4255 3.jpg

เพลินชอบที่นี่มาก คุ้มค่าแก่การรอคอยที่จะมา แม้จะอยู่แป๊บเดียวก็เถอะ
คือเบลดไม่มีอะไรมากนอกจากเกาะเบลด ทะเลสาบเบลด ดื่มด่ำเต็มที่พอย่ำค่ำก็กลับเข้า
Ljubljana (ลุบลิยานา) เมืองหลวงของสโลวีเนีย

คืนแรกเรานอนที่โรงแรม Hotel Nox เป็นโรงแรมกึ่งบูทีคโฮเทล ตกแต่งเก๋ๆ แต่ละห้องจะมีธีมไม่ซ้ำ แต่มีเบสคือ Modern

อ่านรีวิวเบลดอย่างละเอียดได้ที่ (จุใจกว่าเยอะค่ะ)
Bled – Pearl of Alps ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์ …ทะเลสาบน้อยในเงื้อมเขา [บอลข่าน1 – Slovenia]

 

3. Ljubljana – Postojna (Slovenia)
จากลุบลิยานา เดินทางมาเมืองโพสทอยน่า หรือ โพสทอนญ่า เพื่อมาชมถ้ำหินงอกหินย้อยที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป บ้างก็ว่าที่สุดในโลก เป็นถ้ำที่เกิดจากแม่น้ำกัดเซาะภูเขาหินปูนจนเกิดเป็นหินงอก หินย้อยอันงดงามวิจิตร อายุเก่าแก่หลายล้านปี ความยาวภายในถ้ำประมาณ 24 กิโลเมตร แต่เปิดให้เข้าชมได้ 5 กิโลเมตร โดยมีทั้งส่วนที่นั่งรถราง และส่วนที่เดินชม

 

หินแต่ละส่วนในถ้ำเกิดเป็นรูปทรงสวยงามเป็นรูปร่างต่างๆ มีชื่อเรียกตามที่คนจินตนาการ
และเค้าห้ามถ่ายรูปใช้แฟลช ห้ามจับด้วยเพราะถ้าเราจับปุ๊บหินงอกหินย้อยนั้นจะหยุดการเติบโตทันที!

ถ้ำโพสทอยน่ายังเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญอีกแห่งของโลก มีสัตว์ตัวหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ของเค้าและไม่มีที่ไหนอีกคือ Human Fish หรือปลามนุษย์ หน้าตาเหมือนจิ้งจกเผือก
มันสามารถจำศีลไม่กินอะไรได้เป็นปีๆ แต่เข้าใจว่าเค้ากินแพลงตอนเป็นอาหาร และต้องอาศัยอยู่ในความมืด โดนแสงไม่ได้

โลกใต้พิภพนี่ก็น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ เป็นอีกแห่งที่เพลินชอบมาก

อ้อ ซื้อน้ำมันทรัฟเฟิล ตัว Paste ทรัฟเฟิล และน้ำผึ้งมาด้วยจากร้านที่ระลึกที่นี่ อร่อยจริงๆ คอนเฟิร์มค่ะ

อ่านรีวิวเรื่องถ้ำโพสทอยน่าอย่างละเอียด จุใจกว่าได้ที่ Postojnska Jama ถ้ำโพสทอยน่า – ใต้ความมืดแห่งโลกล้านปี [บอลข่าน 1.2 – Slovenia]

 

4. Postojna (Austria) – Zagreb (Croatia)

ข้ามพรมแดนสโลวิเนียมาสู่โครเอเชีย ใช้เวลาเต็มที่กับเมืองหลวงอย่างกรุงซาเกร็บ เมืองที่อดุมด้วยวัฒนธรรม สิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมายยาวนาน และเป็นหัวใจของการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ

เรียกได้ว่าทุกสถานที่ในซาเกร็บล้วนมีความเป็นมาที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีความหมายล้ำลึกทั้งนั้น

แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเมืองคึกคัก ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่แปลกใจที่เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมอันเข้มข้น

สังเกตว่าคนที่นี่ชอบนั่งชิลร้านกาแฟกันนานๆ พาสุนัขออกมาเดินเล่น

FullSizeRender.jpg

เราเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ทุกที่มีความหมาย และดึงดูดใจจนต้องหยุดแวะนานๆ

ไม่พลาดที่จะไปเยือนโบสถ์เซนต์มาร์ค (St. Mark) และมหาวิหารซาเกร็บ (Cathedral of the Assumption of the Blessed Virgin Mary) 

จริงๆ มีอีกหลายแห่งละเอียดลอออีกมากมาย ไปอ่านรีวิวแบบเต็มๆ ได้ที่

Zagreb [Croatia] – นครซาเกร็บ: เรื่องเล่าเผ่าโครแอทกับอารยธรรมพันปี (บอลข่าน2 – Croatia)

จะได้ใจมากกว่านี้นะคะ ฮ่าๆๆ

คืนนี้นอนซาเกร็บค่ะ ที่ Hotel Double Tree by Hilton

 

5. Zagreb – Karlovac – Plitvice (UNESC0) – Zadar (Croatia)

เราออกจากซาเกร็บแต่เช้าตรู่ ขึ้นรถไปพลิตวิตเช่ ระหว่างทางไกด์แนะนำให้แวะเมืองคาร์โลวัค (Karlovac) ซึ่งเป็นทางผ่าน ถึงเมืองจะออกแนวชนบท ไม่ค่อยมีอะไรแต่ก็จะได้เห็นวิถีชีวิตคนดั้งเดิมที่ทำการเกษตร ทำฟาร์ม ภูมิประเทศก็เป็นทุ่งหญ้า เนินเขาสลับกันไป บรรยากาศบ้านเรือนก็จะทึมๆ อาจเพราะเช้าวันนั้นมีหมอก เลยดูกลูมๆ หน่อย

เราหยุดแวะกันที่พิพิธภัณฑ์สงคามกลางแจ้ง เป็นอนุสรณ์สถานของอาวุธสงครามในสมัยก่อน
หมอกลงหนามาก ยิ่งชวนหดหู่หน่อยๆ

 

แต่พอเข้าเขตพลิตวิตเช่ (Plitvice) อุทยานแห่งชาติ ฟ้าก็เริ่มสว่าง หมอกหนาก็ค่อยๆ เลือนไปกับแสงแดด เราเริ่มเข้าเขตต้นไม้สูงใหญ่สีเหลืองอร่ามโอบล้อม ใบไม้ร่วงได้มาเยือนที่นี่อย่างแท้จริง

อุทยานแห่งชาติ Plitice (National Park Plitvice Jezara) อยู่ใจกลางประเทศโครเอเชีย เป็นอุทยานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ปี 1979
มีเนื้อที่กว่า 269 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยทะเลสาบสีเขียวอมฟ้าและมรกตรวมกันถึง 16 แห่ง เชื่อมด้วยสะพานแลเนินเขา กับน้ำตก

DSC07965.jpg

ไม่มีคำบรรยายนอกจากจะบอกว่า

“สวยมากกกกกกกก”

ครั้งหนึ่งในชีวิตควรจะมา

plit_edit7

plit_edit7

Snapseed 2

และเค้าอนุรักษ์ไว้อย่างดี รักษาสมดุลย์ระบบนิเวศน์ไว้อย่างเคร่งครัด

แต่ถึงอย่างนั้นก็ชอบมีนักท่องเที่ยวแหกกฎด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ คอยให้อาหารเป็ด หรือนกเป็ดน้ำบ่อยๆ ทำให้มันหาอาหารไม่เป็นและล้มหายตายจากไปในช่วงฤดูหนาวที่ปิดอุทยานก็เยอะ

อ่านรีวิวเที่ยวพลิตวิตเช่อย่างละเอียดได้ที่
From Karlovac to “Plitvice”, ending in Zadar จากอนุสรณ์สงคราม สู่ สวนสวรรค์บนดิน จรดฝั่งอาเดรียติก(บอลข่าน3 – Croatia)

เดินอยู่ในพลิตวิตเช่จนเย็นมากก็อำลา มุ่งหน้าลงใต้สู่แคว้นดาลมาเชีย (Dalmatia) อุณหภูมิจะสูงขึ้น 2 องศา คือร้อนขึ้นแต่มีลม

แคว้นดาลมาเชียอยู่ทางใต้ มีภูมิอากาษและภูมิประเทศแบบเมดิเตอเรเนียนแท้ และอยู่ในเขตทะเลอาเดรียติก พวกลักษณะบ้านเมือง สถาปัตยกรรม ศิลปะก็จะออกไปในรูปแบบเฉพาะทางใต้ มากกว่าตอนกลางหรือตอนเหนืออย่างซาเกร็บ พลิตวิตเช่ที่ผ่านมา

เรานอนค้างที่เมือง Zadar (ซาดาร์) ว่ากันว่าพระอาทิตย์ตกที่เมืองนี้สวยที่สุด ดวงใหญ่กลมโต ชัดมาก แต่เพลินดูไม่ทัน เพราะมัวแต่เอาของไปเก็บในห้อง

คืนนี้เราค้างที่โรงแรมกึ่งรีสอร์ตตากอากาศ ชื่อ Hotel Falkensteiner Club Funimation Borik
อารมณ์เหมือนรีสอร์ตตากอากาศสมัยก่อนของบ้านเราค่ะ บรรยากาศจะโบราณๆ หน่อย แต่สิ่งอำนวยความสะดวกดีมากๆ และได้ห้องกว้าง มีห้องนอนห้องนั่งเล่นแยกชัดเจน กับห้องน้ำสองห้องเลยค่ะ

ตกเย็นมาทานบุฟเฟ่ต์ของที่พัก และเดินเล่นเลียบหาด ชมเสียงคลื่นทะเลอาเดรียติก

IMG_4930

IMG_4915.jpg

หาดบ้านเค้าไม่สวยเท่าบ้านเราหรอกนะคะ แต่สงบดี และคลื่นแรงมากซัดฝั่งโครมๆ  ลมแรงจนต้องตะโกนคุยกัน แต่ก็สนุกดี เป็นอีกบรรยากาศ

 

6.  Zadar – Sibenik (UNESCO) – Trogir (UNESCO) – SPLIT (UNESCO)

sibenik_edit7.jpg

เช้าวันรุ่งขึ้นเรามุ่งลงใต้อีกเรื่อยๆ มาสู่เมืองชิบินิค นั่งรถประมาณชั่วโมงก็ถึง ชมเมืองเก่าริมทะเลอาเดรียติก หลังคาบ้านเรือนทำด้วยกระเบื้องสีส้มแปร๊ด แต่เป็นสไตล์เรอเนสซองส์ ได้รับอิทธิพลจากอิตาลี
ชมเมืองเก่าสร้างในยุคโบราณ และมหาวิหารเซนต์เจมส์ หรือ เซนต์จาคอบส์ (St. Jakob) ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมอิตาเลียน – ดัลมาเชียน ได้อย่างลงตัว งดงาม และมีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน สร้างจากหินเมืองบราช และไม่ใช้ตะปูในการต่อ
วิหารนี้ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกจาก  UNESCO ในปี 2000

ฟังอะคาเปลล่า (La Klappa) วงประสานเสียงที่ยูเนสโก้รับรองอีกเช่นกัน

sibenik_edit9

IMG_4969

Snapseed 3

 

เดินเล่นอยู่พักใหญ่ๆ เราก็ล่องใต้ไปอีกสี่สิบนาที ถึงเมือง Trogir (โทรเกียร์) เมืองท่าเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่มีความเป็นมายาวนานไม่แพ้ชิบินิก หรือเมืองใด

ชมวิหารเซนต์ลอว์เรนซ์ (St. Lawrence Cathedral) ซึ่งเป็นนักบุญสำคัญของชาวโทรเกียร์  มีรูปปั้นสิงโตสองตัวเฝ้าด้านหน้า เป็นสัญลักษณ์แทนเวนิซ ส่วนคนที่ขี่หลังสิงโตนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนอดัม กับ อีฟนั่นเอง

trogir_edit2.jpg

 ส่วนประตูเมือง Trogir นั้น UNESCO ได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซม 

trogir_edit3.jpg

เดินเล่นชมหาดทราย ฟ้าสีสด และตัวเมืองที่เป็นหินแทบจะทั้งเมือง แม้ตัวเมืองเก่า หรือ Old town ไม่ใหญ่มาก แต่คนหนาแน่นคึกคักกว่าเขต old town ของชิบินิกหน่อยค่ะ

อ่านรีวิว Sibenik – Trogir อย่างละเอียดจุใจ ได้ที่ Sibenik ดินแดนเกาะทรงก้ามปู สู่ Trogir ~ [บอลข่าน4 – Croatia]

 

สักพักเราก็ขึ้นรถต่อ มุ่งหน้าลงใต้ สู่เมือง Split (สปลิต) เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของโครเอเชีย และเป็นเมืองท่าที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของโครเอเชีย สามารถนั่งเรือข้ามไปอิตาลีได้

ที่สำคัญคืออากาศอุ่นลงมาก แดดแรงขึ้นอีกมาก และลมแรงขึ้นอีกเท่าตัว
ท่าเรือที่นี่คึกคัก ตามหาดมีตลาดขายของเลียบฝั่งคึกครื้น แต่เราไม่อ้อยอิ่งนานเพราะต้องรีบเข้าพระราชวังดิโอคลิเชียนก่อนปิด

พระราชวังอันเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองสปลิต….​พระราชวังดิโอคลิเชียน (Diocletian Palace) ของจักรพรรดิ์ดิโอคลิเชียนผู้ยิ่งใหญ่และโหดร้ายคนหนึ่งของประวัติศาสตร์ พระราชวังนี้ใช้เวลาสร้างถึง 10 ปี และเป็นที่พักผ่อนของจักรพรรดิ์ดิโอคลิเชียนในบั้นปลาย เป็นยุคสมัยเริ่มต้นของจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือจักรวรรดิไบแซนไทน์นั่นเอง

split_edit14

ลานกลางพระราชวัง และหลายแห่งในพระราชวังนี้ใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายซีรี่ส์ Game of Thrones ด้วยค่ะ

แต่ที่เพลินประทับใจเป็นพิเศษคือสฟิงซ์ที่เค้านำมาจากอียิปต์ อายุกว่า 3,500 ปี ที่แม้พระราชวังจะถูกบุก มีสงคราม ภัยธรรมชาติกี่ร้อยกี่พันปี เจ้าสฟิงซ์ในวังนี่ยังรอดปลอดภัยมาได้

split_edit7

ขลังและศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ เพลินยืนดูอยู่พักใหญ่ๆ เลยค่ะ

จากนั้นก็เดินเล่นหาของกินเล่นตามชายหาด แล้วก็เข้าโรงแรมซึ่งอยู่นอกเมืองออกไปหน่อยที่เมือง Solin นั่งรถออกไปไม่ไกลมาก

โรงแรมดีมากค่ะชื่อ Hotel President Solin

วันนี้เหนื่อยหน่อยเพราะแดดแรง แต่สนุกดีนะคะ เพราะไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์แถบนี้เท่าไหร่ ได้มาชมมาดูนี่หูตากว้างไกลขึ้นเยอะ

อ่านรีวิวเมือง Split อย่างละเอียดจุใจได้ที่ Split กับดิโอคลิเชียนผู้ยิ่งใหญ่&โหดร้าย [บอลข่าน 5 – Croatia]

7. Split (Croatia) – Neum (Bosnia) – Maliston – Dubrovnik (Croatia)

วันรุ่งขึ้นเราจะไปมาลีสตอนกัน แต่แวะโฉบไปเมืองนีอุม (Neum) ประเทศบอสเนียก่อนเพราะเป็นทางผ่าน อันที่จริงเมื่อก่อนบริเวณเมืองนีอุมเป็นของโครเอเชีย แต่ยกให้บอสเนียเพื่อให้บอสเนียเป็นหน้าด่านเวลาข้าศึกโจมตี แต่บอสเนียก็รับเพราะจะได้มีทางออกสู่ทะเล  เราแวะแค่ข้ามพรมแดน ต้องตรวจวีซ่าด้วยนะคะ โชคดีรอไม่นาน ต้องลงจากรถประมาณ 10 นาทีเท่านั้น โชเฟอร์บอกว่าถ้าโชคร้ายรอกันยาวเป็นชั่วโมงค่ะ

เราแวะเพิงร้านค้าระหว่างทางเพื่อซื้อส้มและน้ำผึ้ง มาทริปนี้ซื้อน้ำผึ้งเยอะมาก รสหอมหวานและเหนียวข้นกว่าน้ำผึ้งบ้านเรา

dubrovnik_edit4

จากนีอุมเราข้ามพรมแดนกลับมาโครเอเชียอีกครั้ง และเข้าสู่มาลี สตอน (Mali Ston) เป็นเมืองเล็กๆ อันเป็นที่ตั้งของฟาร์มเพาะพันธุ์หอย ได้ล่องเรือไปกลางทะเลอาเดรียติก ชมขั้นตอนการเพาะเลี้ยงหอยและได้กินหอยนางรมสดๆ หอยแมลงภู่สดๆ ตอนนั้นเลย แกล้มเครื่องเคียงไปด้วย ฟินอย่าบอกใคร แถมมีไวน์ มีเหล้าท้องถิ่นแกล้ม…

DSC08370

ไม่มีอะไรจะมอบ เลอค่าจริงๆ น้ำทะเลใสแจ๋วสีฟ้าอมเขียว ตัดกับฟ้าสีน้ำเงินเข้มสดและลมโกรกแรง

Full review of Mali Ston อ่านรีวิวกินหอยสดๆ กลางทะเลอาเดรียติกอย่างจุใจที่ กินหอยสดที่ Maliston ~ [บอลข่าน 6 – Croatia]

 

กินอิ่มหนำสำราญ ช่วงบ่ายเรามุ่งหน้าสู่ Dubrovnik (ดูบรอฟนิก) ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวเอง
เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น Pearl of Adriatic หรือไข่มุกแห่งทะเลอาเดรียติก 
มีชื่อเสียงเพราะใช้ถ่ายซีรี่ส์  Game of Thrones เป็นส่วนใหญ่

นักท่องเที่ยวก็แห่แหนกันมาด้วยประการนี้ มีข่าวออกมาเนืองๆ ว่าเมืองแทบแตกเพราะนักท่องเที่ยวแห่มาตามซีรี่ส์ แต่ในอีกแง่ทำให้การท่องเที่ยวดูบรอฟนิกเติบโตอย่างรวดเร็ว

IMG_5469

ดูบรอฟนิกเองเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโครเอเชีย และเป็นเมืองสวยงามติดอันดับต้นๆ ของโลก
ปี 1991 ดูบรอฟนิกถูกกองทหารยูโกสลาเวียโจมตี บ้านเรือนกว่าครึ่ง อนุสาวรีย์ต่างๆ เสียหายและทรุดโทรม หลังจากสงครามสงบ ปี 1995 UNESCO และสหภาพยุโรปเลยช่วยกันบูรณะซ่อมแซมให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

วันนั้นแดดแรงมาก ถึงว่ายิ่งลงใต้อากาศยิ่งร้อน ยิ่งเมื่อเดินขึ้นลงเนินและกำแพงเมืองยิ่งจะเป็นลม!

วิวดูบรอฟนิกสวยสะกดใจไม่น้อยนะคะ นึกภาพว่าเมืองเก่าเหมือนอาณาจักรโบราณอยู่ริมทะเลอาเดรียติก ตัวเมืองเป็นป้อมปราการโบราณ (ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลย)  มีแนวกำแพงป้อมปราการอันกว้างขวางใหญ่โต ขึ้นไปมองเห็นวิวทั้งเมืองได้พอเหมาะพอดี

IMG_5511

เค้าว่ามาถึงดูบรอฟนิกต้องขึ้นกำแพงเมือง ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึง ก็เลยต้องจัดสักหน่อย กำแพงยาวตั้ง 2 Km. แถมขึ้นๆ ลงๆ เนินไปเรื่อยๆ เป็นการทดสอบความอึด อดทน นอกจากขาต้องแข็งแรง หน้าต้องสู้แดดแผดเผาและเหงื่อที่ซึมออกมาทุกทิศทาง

มองไปด้านหน้าเห็นหลังคาสีส้มแดงตระหง่านไปทั้งเมืองเก่าอยู่ลิบๆ ด้านล่าง

มองไปด้านข้างคือผืนน้ำลึก… ชวนให้หวาดเสียว

IMG_5493

 

เดินจนลิ้นห้อยก็ลากสังขารลงมาเดินเล่นจตุรัสกลางเมืองที่คึกคักกว่าทุกเมืองที่ผ่านมา อาจเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่ หมดแรงเข้าไปในคาเฟ่ สั่งน้ำส้มน้ำมะนาวมากินดับกระหาย

เย็นวันนั้นเราก็ทานอาหารตรงนั้นล่ะ มีลอบสเตอร์ย่างตัวเท่าท่อนแขน! เสิร์ฟพร้อมสปาเก็ตตี้ จุกกองกันตรงนั้นเลยค่ะ

IMG_5597

คืนนี้นอนดูบรอฟนิก ที่ Hotel Lero Dubrovnik

 

8. Dubrovnik – Cavtat (Croatia) – Kotor (Montenegro) – Budva

ออกจากดูบรอฟนิก โชเฟอร์ก็แอบแวะเมือง Cavtat เป็นเมืองตากอากาศเล็กๆ ให้เราเดินเล่นชมวิวริมทะเล เมืองนี้มีแต่คนสูงอายุ เป็นเมืองชิล

DSC08535

 

DSC08531

DSC08533.JPG

หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าสู่ประเทศใหม่ค่า….

ข้ามพรมแดนไปสู่ประเทศมอนเตเนโกร... ที่เมืองกอเตอร์ หรือ Kotor

Montenegro มาจาก Monte = ภูเขา, Negro = ดำ
จึงหมายถึง ดินแดนแห่งภูเขาสีดำ

IMG_9145.JPG

ภูมิประเทศเป็นเขาสูงทะมึนอยู่ริมฝั่งที่เป็นหาดแคบๆ แต่ทอดยาว เรียกได้ว่าเป็นภูเขาติดทะเลอาเดรียติก

ที่นี่ชาวเมืองนับถือคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ มีโบสถ์ออร์ธอดอกซ์เต็มไปหมด

ที่เพลินชอบคือตอนเข้าไปในเขต Old Town มันให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในอาณาจักรโบราณเก่าแก่มากกว่าเมืองไหนๆ ทั้งหมดเลย

คงเป็นเพราะ UNESCO เค้าอนุรักษ์ทั้งเมืองเก่าให้เป็นมรดกโลก คือห้ามไปดัดแปลง ขยายทำอะไรเพิ่ม ทุกอย่างเลยดูดั้งเดิมแต่อบอุ่น กรุ่นอวลด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์ เหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้น

IMG_5728

คืนนี้เราไม่ได้นอนที่กอเตอร์ แต่ไปนอนที่ BUDVA หรือบุดวา เมืองตากอากาศสำคัญอีกแห่งของมอนเตเนโกร บุดวาเป็นเมืองโบราณบนชายฝั่งอาเดรียติก และเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดอีกแห่งที่ตั้งอยู่รอบทะเลอาเดรียติก มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 2,500 ปี

ปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเป็น Rivera of Montenegro เลย

แต่เพลินถึงบุดวาก็เย็นมากแล้ว เลยได้แต่เดินเล่นชมเมืองเก่า Old Town ตอนกลางคืนนิดหน่อย

แต่โรงแรมดีมาก นอกจากทำเลดีคือเดินไปเมืองเก่าได้ใกล้ๆ ยัง Facilities ครบครัน ห้องกว้าง และมีดีไซน์โมเดิร์น ชื่อ Hotel Avala Resort & Villas, Budva

 

9. Budva – Podcorica (Montenegro) – Vienna (Austria) 

เราได้แต่เดินเล่นเลียบหาดที่บุดวา แม้ยังดูเงียบเหงาแต่ก็มีสัญญาณชัดเจนว่าต่อไปบุดวาจะเป็นเมืองตากอากาศที่มาแรงในอนาคต
สายหน่อยเราต้องรีบไปเมืองพอดกอริซ่า เมืองหลวงของมอนเตเนโกร เพื่อขึ้นเครื่องกลับเวียนนา ประเทศออสเตรีย

ทิ้งดินแดนแห่งภูเขาสีดำไว้เบื้องหลัง

กลับมาชอปที่เอาต์เลตเวียนนาอีกสามชั่วโมงก็โบกมือลากลับเมืองไทย

ประทับใจกับทริปบอลข่านนี้มากๆ ค่ะ แนะนำว่าต้องฟิตร่างกายพอสมควรนะคะ เพราะต้องเดินเยอะ ขึ้นเขา ปีนกำแพงเมือง

และเป็นทริปเชิงประวัติศาสตร์ค่ะ จะตื่นเต้นดื่มด่ำกับมันเมื่อเราอิน

ถามว่าเหนื่อยไหมก็เหนื่อยเอาการค่ะ
แต่ชอบนะคะ อยากกลับมาใช้เวลากับมันนานขึ้นอีกนิด โดยเฉพาะมอนเตเนโกรค่ะ

พบกันใหม่กับทริป ทะเลสาบไบคาล แห่งไซบีเรียตอนใต้!

 

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.