Montenegro ดินแดน Black Mountains [~บอลข่าน 8]

IMG_9145

หลังจากที่ท่องบอลข่านมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ เรามาหยุดที่ประเทศสุดท้ายคือ “มอนเตเนโกร” (Montenegro) ดินแดนแห่งภูเขาสีดำที่คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ หากจะรู้จักก็รู้จักแต่เพียงว่ามีนักการเมืองท่านหนึ่งในบ้านเราหลบไปอยู่ประเทศนี้ และกลายเป็นพลเมืองถือสัญชาติมอนเตเนโกรเท่านั้น

วันนี้เพลินจะพาทุกคนไปรู้จักมอนเตโนโกรกัน ไปชมความงามแบบดั้งเดิม ในบรรยากาศที่ยังไม่ถูกโลกสมัยใหม่ปนเปื้อนทำลายมากนัก ธรรมชาติก็ยังบริสุทธิ์ เมืองเก่าก็ยังคงเอกลักษณ์เอาไว้ตามแบบฉบับมรดกโลกขององค์การ UNESCO  (บอกแล้วว่าทริปบอลข่านนี้เพลินพาไปชมแต่มรดกโลกนะคะ)

พอออกจากดูบรอฟนิก ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง จะเริ่มเข้าเขตมอนเตเนโกร โดยเราจะเริ่มเห็นแนวชายฝั่งมีแนวเทือกเขาสีดำเป็นฉากหลังอยู่ลิบๆ

IMG_9142

monte_edit1.jpg

    Monte =  ภูเขา
Negro = ดำ 
                     Montenegro = ภูเขาสีดำ

มอนเตเนโกร จึงหมายถึงดินแดนแห่งภูเขาสีดำนั่นเอง

มอนเตเนโกรอยู่ในกลุ่มประเทศบอลข่าน
แวดล้อมด้วยแนวเขาสูงทะมึน เป็นป้อมปราการแข็งแกร่งตามธรรมชาติ โอบล้อมหมู่บ้านโบราณแบบยุคกลางที่กระจายตัวอยู่ด้านหลังเขา มีชายหาดแคบๆ ทอดโค้งไปตามเส้นชายฝั่งทะเลอาเดรียติกอีกที
โดยมีอ่าวกอเทอร์ (Bay of Kotor) เปรียบเสมือนฟยอร์ด (ฟยอร์ด คืออ่าวแคบๆ ที่อยู่ระหว่างหน้าผาสูงชัน) ระหว่างผาสูง แต่งแต้มด้วยโบสถ์เรียงรายตามชายฝั่ง และมีเมืองหน้าด่านอย่างเมืองกอเทอร์ (Kotor) และ เฮอร์เซก โนวิ (Herceg Novi)

DSC08508

เห็นเกาะน้อยๆ นั่นไหมคะ… เจ้าเกาะน้อยนี่ล่ะ มีชื่อว่า Sveti Nikola เป็นเกาะที่มีข่าวเล่าลือกันว่า “อดีตนักการเมือง” ของไทยคนนั้นมาซื้อเจ้าเกาะนี่ไว้แล้ว

ส่วนเกาะที่ว่ากันว่าแบรด พิทท์มาซื้อจะเล็กกว่าเกาะ Sveti Nikola หน่อย ชื่อเจ้าเกาะ Sveti Stefan

DSC08508-1

ต้องเล่านิดนึงว่าทำไมมันดูซื้อขายเกาะอะไรกันง่ายดายขนาดนี้
เรื่องของเรื่องคือชาวมอนเตเนโกรเป็นชนชาติที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานพันปี มีอารยธรรมของตัวเองในดินแดนแถบนี้ แต่เดิมทีรวมอยู่กับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มบอลข่าน ไม่ได้เป็นประเทศมอนเตเนโกรอย่างเป็นเอกเทศ เค้าเพิ่งแยกจากกลุ่มยูโกสลาเวียและตั้งเป็นประเทศใหม่ คือ สาธารณรัฐมอนเตเนโกร เมื่อปี 2006  นี่เอง อายุอานามความเป็นประเทศเค้าเลยแค่ 11 ปีเท่านั้น (เพลินเขียนปลายปี 2017 ก็ขอนับเป็น 11 ปีค่ะ)

DSC08522-1

ประเทศเค้ามีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และยังไม่ถูกรุกล้ำ รุกรานมากนัก และมีชายหาดสวยงาม พอเปิดประเทศใหม่ๆ ก็ต้องการพัฒนา จะพัฒนาก็ต้องการนักลงทุน ดังนั้น จึงเปิดรับนายทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนกันเยอะ

ที่ทางอะไรจึงไม่ค่อยแพงมากนัก มีมหาเศรษฐีหลายคนในโลกนี้เข้ามาจับจองซื้อลงทุนไปก็มาก
เพลินยังอยากจะซื้อที่ทำบ้านพักตากอากาศบนเขาสักหน่อย (ถ้ามีเงินนะคะ ได้แต่ฝัน ฮ่าๆ)
เพราะถ้าเวลาผ่านไป ประเทศพัฒนามากขึ้น มูลค่าที่ดินวิวสวยอย่างนี้คงไม่มีอีกแล้ว

เมื่อลัดเลาะตามถนนคดเคี้ยวตามแนวเขา ในที่สุดเราก็มาถึงเมือง Kotor มีป้อมปราการหน้าเขาทะมึน ให้ความรู้สึกเป็นเมืองโบราณอย่างแท้จริง อารมณ์แบบมาถึงประตูเมืองแล้วจ้า ด้านในคืออาณาจักร ยังไงยังงั้นเลย ซึ่ง Kotor เป็นอารมณ์นั้นจริงๆ แบบอาณาจักรในหุบเขา

IMG_5719

ต้องเล่าให้เห็นภาพนิดนึงว่า ดินแดนแถวนี้ยังดิบอยู่มาก ดิบในที่นี้คือยังไม่มีแสงสี ความเจริญ หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแผ้วพานมากนัก ธรรมชาติและบ้านเรือนยังคงอนุรักษ์แบบดั้งเดิมมากๆ จะเห็นว่าตามทะเลสาบ ป่าเขาระหว่างทางไม่มีใครรบกวนมากนัก ไม่มีรีสอร์ต ร้านค้าหนาแน่น หรือคนมาจับกลุ่มตั้งแคมป์

มันจึงเหมือนโลกยุคโบราณอันมีมนต์ขลัง และเขาก็ตั้งใจอนุรักษ์ไว้แบบนี้ โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่า หรือ Old Town of Kotor นั้นขึ้นทะเบียนมรดกโลกของ UNESCO ดังนั้นเค้าจึงห้ามเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น

กลับมาที่ลักษณะเมือง ที่เป็นภูเขาสีดำเรียงทะมึน มีตัวเมืองเก่า Old Town อยู่ด้านใน Kotor มีชายหาดแคบๆ เหมือนเส้นเล็กๆ เลียบไปตามฝั่งเท่านั้น พูดง่ายๆ คือหน้าภูเขาก็เป็นทะเลอาเดรียติก ไม่ค่อยจะมีพื้นที่ระหว่างแนวฝั่งดินกับน้ำมากนัก ในอดีตถ้ามีใครจะโจมตีคือมาทางเรือเป็นหลัก

ถึงแล้วค่ะหน้าประตูเมืองเก่า หรือ Old Town of Kotor ยังคงขลังศักดิ์สิทธิ์

IMG_5721

เมื่อเข้าเขต Old Town หรือเมืองเก่าของ Kotor ไกด์ท้องถิ่นอายุราวใกล้สี่สิบชื่อคุณมาเรียเล่าว่า Kotor มีลักษณะเหมือนสามเหลี่ยม มีกำแพงล้อมเขตเมืองเก่าพร้อมทหารถือปืนระวังภัยรอบด้าน ทั้งพวกเติร์กที่บุกมาทางภูเขา และพวกโจรสลัดที่บุกมาทางทะเล

พามาถึงตึกยาวที่สุดในเมือง ยกขึ้นสูง เคยเป็นที่ประทับของเจ้าครองนคร หันหน้าออกสู่ทะเลและหันหน้าเข้าหาตัวเมืองเพื่อให้เห็นได้โดยรอบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างทั้งในเมือง และนอกเมืองคือทะเลเบื้องหน้า เมื่อมีเรือมาหรือมีความผิดปกติ เจ้าเมืองก็จะเห็นหรือจับสังเกตได้ทันที เมื่อเห็นเรือก็จะดูธงก่อนว่าธงของที่ไหน เช่น ของเวนิซหรือเปล่า หรือเป็นธงที่คุ้นเคยไหม ถ้าใช่ก็ให้ทหารเปิดประตูเมืองเข้ามา เพราะประตูเมืองหันหน้าออกสู่ทะเลนั่นเอง

ประตูเมืองนี้ ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟังว่า สลักเป็นคำประกาศของนายพลติโต ว่า “ของคนอื่นเราไม่เอา ของของเราเราก็ไม่ให้”
คิดว่าน่าจะเป็นตัวอักษรสลักใต้ตราสัญลักษณ์ประจำเมืองนั้น แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าใช่เหรอ…

IMG_5725

เมื่อผ่านประตูเมืองเข้ามา ผู้มาเยือนก็จะเข้าสู่จตุรัสกลางเมือง อาคันตุกะจะต้องเข้าไปในอาคารหลังคาแดงเพื่อปลดอาวุธ จึงเรียกจตุรัสนั้นว่า  Armedless Square

ส่วนหอนาฬิกาประจำเมืองนั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่17 จะดังทุกครึ่งชั่วโมงและหนึ่งชั่วโมง สมัยก่อนจะมีครอบครัวหนึ่งรับหน้าที่ปีนขึ้นไปหมุนนาฬิกาบนหอให้ดัง ทำเช่นนี้ต่อมาถึง 5 รุ่น เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมีคนปีนไปหมุนอีก แต่ก็ยังต้องมีระบบออโต้ให้มันดังบอกเวลา เพราะคนท้องถิ่นยังชินและอยากรู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว (เมืองเค้าเล็กๆ นาฬิกาตีก็ได้ยิน)

Kotor เป็นเมืองที่มีโบสถ์เยอะมากค่ะ แต่จะเป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์ธอดอกส์ มีโบสถ์คาธอลิกอยู่แค่ 2 โบสถ์เท่านั้น นอกนั้นออร์ธอร์ดอกซ์ราว 21 โบสถ์เลยทีเดียว

IMG_5740

สมัยโบราณ Kotor มีเจ้าชายเป็นผู้ครองนครหลายคน ผ่านมาหลายศตวรรษ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก ทั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถึง 5  ครั้ง และการเข้ายึดครองของกลุ่มชนต่างๆ โดยเฉพาะชาวเวนิซ ทำให้ศิลปกรรม ความเชื่อ วัฒนธรรมต่างๆ ได้รับอิทธิพลจากเวนิซมากตั้งแต่ศตวรรษที่ 15-17 ผสมผสานกับของชนชาติอื่นออกมาเป็นรูปแบบเฉพาะของมอนเตเนโกร ส่วนมากจะเป็นวัฒนธรรมแบบชาวเรือ เพราะชาวมอนเตเนโกรใช้ชีวิตผูกพันกับการเดินเรือ

ไกด์ท้องถิ่นเล่าว่านักเดินเรือพวกนี้แหละที่เวลาเดินทางกลับมาตุภูมิก็จะขนทอง เงิน หินอ่อนจากดินแดนต่างๆ ที่ไปมานำกลับมาสร้างโบสถ์ มีโบสถ์เยอะมากถึง 21 โบสถ์ในเขตเมือง Kotor เพราะชาวเมืองศรัทธาในคริสตศาสนามาก และบูชานักบุญต่างๆ เสมอเวลาออกทะเล ก็มีนักบุญเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

IMG_5736

IMG_5744

ในเขตเมืองเก่า หรือ Old Town ของเค้ามีคนอยู่แค่ 800 คนเอง คุณมาเรียบอกมา เพลินคิดว่าเพลินฟังไม่ผิดนะ ก็แอบตกใจว่าทำไมน้อยจัง เค้าบอกว่าคนรวยถึงจะอยู่ใน Old town… เพลินก็อ้อ… ได้ความรู้เพิ่มเติม มิน่าคนน้อย แต่เมืองเค้าก็เล็กจริงๆ นั่นล่ะ ยิ่ง UNESCO ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ไม่ให้แต่งเติมทำอะไรหรือขยายตามใจชอบเลยเป็นเมืองอนุรักษ์ไปโดยปริยาย มีโรงแรมหลายแห่งดัดแปลงจากอาคารที่มีความสำคัญในอดีตก็เยอะ รองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

ในอนาคต มอนเตเนโกรเตรียมสร้างตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศอันดับต้นของโลก อย่างที่บอกว่ายังมี Untouched scenes, lands อยู่มากมาย

IMG_5775

ในเขตเมืองก็มีร้านอาหาร คาเฟ่ บาร์เรียงรายตลอดทาง แต่ไม่หนาแน่นจนอึดอัด คึกคักพอประมาณ

มีคนมาถ่ายแบบด้วย นายแบบหล่อมาก นางแบบก็สวย แต่แอบถ่ายไม่ทัน กลัวเค้าว่าด้วย

IMG_5728

IMG_5742

IMG_5768

IMG_5767

Kotor เป็นเมืองแห่งแมวด้วยนะคะ จะเห็นแมวเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด อย่างที่เพลินบอกว่าสังเกตกลุ่มประเทศแถบบอลข่าน จะเห็นแมวจรเต็มไปหมด ไม่เห็นหมาจรเลยสักตัว

ยิ่งเข้ามอนเตเนโกรยิ่งแมวเยอะกว่าที่โครเอเชีย หรือ สโลวิเนียอีกค่ะ

แต่ละตัวปุกปุยทั้งนั้น อ้วนๆ ขนฟู ชวนให้นึกถึงแมวแอ๊บบี้ที่บ้านเลยค่ะ

แมวที่นี่เยอะถึงขนาดมี Cat Museum หรือพิพิธภัณฑ์แมวนั่นเอง

IMG_5778

 

IMG_5780

คาเฟ่ที่นั่งของร้านอาหารก็สร้างขนานไปกับไม้ใหญ่เป็นเอกลักษณ์

IMG_5779

จากนั้นก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นยุโรป เอเชียจะมีญี่ปุ่น เกาหลี ไม่มีจีนนะคะ

IMG_5784

เพลินไม่ได้ถ่ายเบี้ยวนะคะ เมืองเค้าอยู่บนเนินก็เลยเบี้ยวๆ

IMG_5794

IMG_5755

แวะโบสถ์สักหน่อย โบสถ์อื่นปิดประตูหมด มีโบสถ์นี้เปิดและดูสว่างไสว ไม่มืดทึบ เชิญชวนให้เข้าไป

เพลินเป็นคนชอบโบสถ์ ชอบวิหารค่ะ รู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็ขอให้ได้เข้า เข้าไปสัมผัสความขรึมขลัง และเข้าใจศรัทธาของคนต่างวัฒนธรรม

IMG_9144

เดินจนแดดร่มลมตก ได้เวลาอำลา Kotor ไปต่อที่ Budva คืนนี้จะนอนที่ Budva เมืองตากอากาศอีกเมืองที่เค้ากำลังชูเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญในอนาคต
BUDVA หรือบุดวา เป็นเมืองตากอากาศสำคัญอีกแห่งของมอนเตเนโกร และเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งที่ตั้งอยู่รอบทะเลอาเดรียติก มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 2,500 ปี

ปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเป็น Rivera of Montenegro เลย

แต่ไม่ได้ไปเที่ยวมากนอกจากเดินเขตเมืองเก่า Budva ช่วงกลางคืน ซื้อของที่ระลึกพวกจานเพ้นท์สีกลับมา แล้วกลับมาเอ็นจอยโรงแรม

 

โรงแรมดีมากขอบอก

นอกจากทำเลดีคือเดินไปเมืองเก่าได้ใกล้ๆ ยัง Facilities ครบครัน ห้องกว้าง และมีดีไซน์โมเดิร์น

ชื่อ Hotel Avala Resort & Villas, Budva

คิดถึงทริปนี้จริงๆ

กลุ่มประเทศแถบบอลข่านนี้น่ามาเที่ยวสักครั้งนะคะ มีวัฒนธรรม ความเป็นมา และทัศนียภาพแตกต่างจากยุโรปเหนือหรือตะวันตกที่เราอาจคุ้นเคยกัน พวกเขาจะมีคาแรคเตอร์ทางภูมิศาสตร์ เชื้อชาติ และวัฒนธรรมคล้ายๆ กันเพราะติดทะเล และรับวัฒนธรรมอื่นผสมผสานตลอดเวลา

หวังว่าทุกคนจะชอบอย่างที่เพลินชอบนะคะ ^^

อ่านเรื่องทริปในบอลข่านอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่

Bled – Pearl of Alps ไข่มุกแห่งเทือกเขาแอลป์ …ทะเลสาบน้อยในเงื้อมเขา [บอลข่าน1 – Slovenia]

Postojnska Jama ถ้ำโพสทอยน่า – ใต้ความมืดแห่งโลกล้านปี [บอลข่าน 1.2 – Slovenia]

Zagreb [Croatia] – นครซาเกร็บ: เรื่องเล่าเผ่าโครแอทกับอารยธรรมพันปี (บอลข่าน2 – Croatia)

From Karlovac to “Plitvice”, ending in Zadar จากอนุสรณ์สงคราม สู่ สวนสวรรค์บนดิน จรดฝั่งอาเดรียติก(บอลข่าน3 – Croatia)

Sibenik ดินแดนเกาะทรงก้ามปู สู่ Trogir ~ [บอลข่าน4 – Croatia]

Split กับดิโอคลิเชียนผู้ยิ่งใหญ่&โหดร้าย [บอลข่าน 5 – Croatia]

กินหอยสดที่ Maliston ~ [บอลข่าน 6 – Croatia]

Dubrovnik King’s Landing: ล่องใต้สู่ ดูบรอฟนิก ดินแดนแห่ง Game of Throne [บอลข่าน~7]

 

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.