1-Day trip in MyanMar พม่าคนเดียวก็เปรี้ยวได้ (ทริปไหว้พระ 9 วัด)

สวัสดีค่า ห่างหายกันไปพักใหญ่เพราะติดงานเขียนหนังสือนะคะ ก็ขอกลับมาอัปเดตทริปสนุกๆ สั้นๆ ให้หายคิดถึงกันไปก่อน

โดยทริปนี้เป็นทริปสั้น ๆ 1 วัน (ไปเช้าเย็นกลับ) ซึ่งก็คือทริปไหว้พระที่พม่านั่นเองค่ะ โดยจุดประสงค์ของเพลินคือกะไปไหว้พระอย่างเดียวเลย ไม่เน้นชอปปิ้งนะคะ และมีเวลาแค่วันเดียว แถมไม่มีใครว่างไปด้วยเลยค่ะ ก็เลยจะเป็นการลุยเดี่ยว ไปไม่ยาก ไม่ลำบาก แค่เตรียมตัว เตรียมใจกับแดดร้อนๆ (ควรพกอุปกรณ์กันแดดไปด้วยค่ะ) เตรียมเงิน และเตรียมศรัทธาไปเท่านั้นเอง

และตามสไตล์คือเพลินเป็นคนรักสบาย ไม่ถึกมาก รูทและการเตรียมตัวของเพลินจะเป็นไปแบบให้ตัวเองสบายตัว และคล่องตัวที่สุด

เพลินขอ define ทริปนี้ว่าเป็นการไหว้พระ 9 วัดนะคะ ในความเป็นจริงไม่ถึง 9 แต่ถ้านับตามจำนวนเทพและพระที่ไหว้ก็ถึงค่ะ

มาเริ่มแกะรูทกันก่อนค่ะ

วัดชเวดากอง – เจดีย์โบตะตาว – เทพทันใจ – เทพกระซิบ – วัดงาทัตจี – วัดเจาทัตจี (พระนอนตาหวาน) – เจดีย์กาบาเอ้ – วัดพระเขี้ยวแก้ว – อุทยานช้างเผือก – วัดพระหินอ่อน

รายละเอียดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพลินจะสรุปให้อีกทีท้ายบล็อกนะคะ 

ที่มาที่ไป

ขอเล่าก่อนว่าไอเดียไปไหว้พระแบบเช้าเย็นกลับนี่ได้มาจากพี่สาวฝาแฝดค่ะ โดยพี่เค้าซื้อแพคเกจทัวร์ที่เริ่มต้นที่สองคนสามพันกว่า เพลินว่าแพงมากๆ ถ้าเทียบกับโปรแกรมที่ได้ไปอยู่ไม่กี่ที่เอง แล้วถ้าไปคนเดียวทัวร์นั้นคิดตั้งหกพัน บ้าไปแล้ว ก็เลยตัดออพชั่นนี้ทิ้ง ก็ลองหาข้อมูลมาเรื่อยๆ

จนมาเจอคนแนะนำในพันทิปว่าให้ติดต่อคนขับรถคนหนึ่ง อัธยาศัยดี รถดี ราคาไ่ม่แพง เพลินก็เลยลองติดต่อดูค่ะ ชื่อคุณ “ซายทูน” เป็นชาวไทยใหญ่ที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วเลย (เดี๋ยวจะใส่คอนแทคคุณซายทูนไว้ให้ท้ายบล็อกนะคะ)
คิดราคาเหมา 2,500 ฿ / วัน (ไม่รวมทิป ไม่รวมค่ากิน และค่าเข้าชมสถานที่) ราคาดีมากๆ 

ได้คนขับแล้ว

เพลินติดต่อคุณซายทูนทางไลน์ค่ะ นัดหมายกันเรียบร้อยโดยเริ่มจาก
1. ดูวันที่ให้ตรงกัน (เนื่องจากเพลินไปช่วงต้นธันวา ติดวันหยุดเยอะ คุณซายทูนไม่ว่างทุกวัน)
2. คอนเฟิร์มวันแล้ว ก็จองตั๋วค่ะ มีทั้งนกแอร์ ทั้งไลอ้อนแอร์ จองแล้วก็แจ้งไฟลต์ให้คุณคนขับค่ะ
3. คุยกับเค้าล่วงหน้าว่ามีแพลนอะไรบ้าง

ส่วนตัวเพลินกะไปไหว้เจดีย์ชเวดากอง และเทพทันใจเป็นหลัก เลยให้คุณซายทูนช่วยวางแผนที่เหลือ บอกเค้าว่าเน้นไหว้พระ ไม่เน้นช้อป ไม่ซื้อของ ให้เค้าจัดโปรแกรมเลยว่าจะพาเราไปไหนบ้าง ดูตามความเหมาะสมได้เลย ก็เลยออกมาเป็นรูทอย่างที่เขียนไปข้างบนนี้ค่ะ

เริ่มเตรียมตัว

เงิน

จากที่ถามพี่สาวและหาข้อมูล เค้าบอกให้แลกเป็นเงินดอลล่าร์ไปก่อน แล้วค่อยไปแลกเงินจ๊าดตอนไปถึงพม่า แต่โชคดีที่เพลินปรึกษาคุณซายทูนก่อน เค้าบอกว่าเอาเงินไทยมาแลกที่สนามบินก็ได้นะ เพลินก็เลยโอเค เอามาแลกที่สนามบินละกัน

เตรียมไป 5,000 บาท (เผื่อไว้ก่อน จริงๆ เหลือเพียบค่ะ) เป็นค่ากิน ค่าเข้าต่างๆ

เตรียมไป  2,500 บาท สำหรับจ่ายค่ารถกับคุณซายทูน

เงินจ๊าดพม่า มีตัวย่อว่า  (MMK)

ไฟลต์

Lion Air: flight SL200 (ขาไป) 1,565 ฿

flight SL207 (ขากลับ) 1,565 ฿

ออกเดินทาง

เพลินเดินทางแต่เช้าตรู่ ด้วยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์  ไฟลต์ SL200 เวลา 6.45 น. 

เวลาที่พม่าช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมง ก็ไปถึงย่างกุ้ง 7.35 เวลาท้องถิ่นค่ะ เช้ามากๆ ด้วยความที่ไม่มีกระเป๋าโหลด มีแค่กระเป๋าสะพายและเป้ 1 ใบเล็กๆ ก็เลยเดินตัวปลิวผ่านด่านตรวจพาสปอร์ต ออกมาก็เจอคุณซายทูนยืนถือป้ายอยู่ เค้าจะถือป้ายชื่อตัวเองนะคะ ไม่ได้เป็นชื่อเรา เรื่องนี้คุณซายทูนแจ้งมาทางไลน์อยู่แล้วว่าเค้าจะถือป้ายแบบนี้รอ (ถ่ายหน้าตัวเองกับป้ายมา จะได้หาตัวถูกค่ะ)

พอเจอแล้วคุณซายทูนก็ชี้จุดแลกเงินให้ค่ะ เพลินก็แลกมา 4,000 บาท ได้มาราวๆ เกือบสองแสนจ๊าด (ตัวเลข ณ วันที่ 6 ธค 2561 — 1 บาท = 47 จ๊าด แต่ตอนเพลินไปแลกที่สนามบิน ตกอยู่ 45 จ๊าด)

ขั้นตอนนี้กินเวลาเร็วมากค่ะ แป๊บเดียวก็มาขึ้นรถแล้ว เป็นมินิแวนใหม่เอี่ยม ติดแอร์เย็นฉ่ำเลย ใหญ่เกินจะมาคนเดียว แต่ก็นั่งสบายดีค่ะ

ด้วยความที่เช้าอยู่ แดดยังไม่แรง คุณซายทูนเลยว่าไปชเวดากองก่อนก็ได้ ถ้าช้ากว่านี้แดดจะแรงเที่ยวไม่สนุก เราก็เลยเริ่มกันที่แรกที่ชเวดากองเลย

SHWEDAGON PAGODA วัดชเวดากอง

เจดีย์ชเวดากอง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพม่า จุดเด่นของที่แห่งนี้ก็คือ พระมหาเจดีย์สีทองอร่าม มีความสูงถึง 105 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึก 36 ชั้น ด้านบนพระเจดีย์ประดับด้วยพลอยไพลิน และอัญมณีมีค่ามากมาย อีกทั้งภายในยังเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ส่วนฐานแปดเหลี่ยมพระเจดีย์ทำจากอิฐ ปกคลุมด้วยแผ่นทอง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมพระเจดีย์ได้ด้วยแต่อนุญาตให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นค่ะ

พอมาถึงคุณซายทูนก็พาไปจุดเช่าผ้าถุงค่ะเพราะเพลินใส่กางเกงขายาวมา จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไป (เพลินเคยมาหลายปีก่อน ขึ้นอีกทางไม่มีลิฟต์ต้องขึ้นบันได เหนื่อยมาก) ระหว่างนั้นเค้าก็ติดต่อเพื่อนข้างบนให้เตรียมดอกไม้ธูปเทียนสำหรับสักการะบูชาไว้ให้ พอขึ้นลิฟต์มาปุ๊บก็ได้รับของไหว้ทันที ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 1,000 จ๊าดค่ะ

ระหว่างทางขึ้นไปยังตัววัด

บัตรเข้า 10,000 จ๊าดค่ะ

ถึงแล้วค่ะ เช้าตรู่แดดก็ยังเปรี้ยงนะคะ ตอนนี้เจดีย์กำลังบูรณะอยู่ค่ะ แต่ก็ยังเห็นความยิ่งใหญ่อลังการ

มหาเจดีย์ชเวดากองยามเช้าตรู่
แม้จะบูรณะซ่อมแซมบางส่วนก็ยังสวยงามอยู่

เริ่มต้นวันด้วยการจุดธูปเทียนบูชากลาง “ลานอธิษฐาน” ค่ะ เป็นจุดแรกที่ต้องไปสักการะเลย เชื่อกันว่าเป็นจุดที่พลังอธิษฐานไปถึงยอดเจดีย์ (ตำนานเล่าว่าพระเจ้าบุเรงนองก่อนจะทำอะไรต้องมาอธิษฐานตรงนี้)

จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินชมความงามและหยุดไหว้พระขอพรไปเรื่อย ๆ บนชเวดากองนี้กินพื้นที่กว้างขวาง มีองค์พระองค์เทพมากมายให้เราสักการะบูชาค่ะ 

เพลินชอบที่หนุ่มสาวพ็มาเดตกันที่วัดด้วย น่ารักดีค่ะ

มุมไหนก็สวยไปหมด เห็นเจดีย์ชเวดากองเสมอ

พระอุปคุต

อย่างองค์นี้คือพระอุปคุตค่ะ ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก พระอุปคุต หมายถึง พระที่ยังมีชีวิตอยู่และจะอยู่รอจนถึงยุคพระศรีอาริยเมตไตรย์ ว่ากันว่าทรงโปรดของหอม เวลาถวายให้ถวายมะลิ หรือน้ำหอมก็ได้ แต่เพลินเพิ่งทราบตอนฟังประวัติเลยไม่ได้เตรียมไปค่ะ

พระราหู

เยื้องมาตรงข้ามกับพระอุปคุตเราจะเห็น “พระราหู” เป็นพระปางนาคปรก มียักษ์สามตัวด้านล่างซึ่งก็คือพระราหูนั่นเองค่ะ ถ้าใครโดนทักว่าให้ไหว้ราหูให้มาไหว้ที่นี่เลยค่ะ ดีใจ ได้สักการะพระศักดิ์สิทธิ์หลายองค์เลย

จากนั้นก็แวะเวียนไหว้สักการะพระอีกหลายองค์ บางองค์คุณซายทูนเล่าให้ฟังเพลินก็ลืมไปบ้างแล้ว แหะๆ แต่สวย ศักดิ์สิทธิ์ น่าประทับใจทุกองค์เลยค่ะ ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งนั้น

ต้นโพธิ์อันศักดิ์สิทธิ์
สวยมาก เพลินเลยถ่ายไว้ค่ะ

แม่ยักษ์

จากนั้นมาไหว้แม่ยักษ์ ที่ว่ากันว่าใครอยากได้เรื่องชื่อเสียงเงินทองต่าง ๆ ให้มากราบไหว้ท่านค่ะ บูชาด้วยยาเส้น บุหรี่ หรือมะพร้าวค่ะ

พระสิวลี และ พระเปิดโลก

แล้วที่เป็นบุญมากๆ คือได้ไปสักการะพระสิวลีองค์แรกในพม่าด้วยค่ะ คือในพม่ามีพระสิวลีหลายองค์​ แต่องค์แรกนั้นเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพม่า ให้พรได้สำเร็จที่สุด ท่านจะอยู่ในซี่ลูกกรงข้างใน เยื้องไปทางข้างหลัง พวกเราเข้าไม่ได้นะคะ ผู้ชายไปได้มากสุดก็คือหน้าลูกกรง ผู้หญิงได้นั่งอยู่บนพื้นต่ำข้างล่าง คุณซายทูนพยายามชี้ให้เราดูอยู่ เห็นเป็นเงาหลบๆ ข้างใน มีแดดสะท้อนมาแทบไม่เห็นเลยค่ะ เอาเป็นว่าพอเห็นแวบๆ ให้ได้ชื่นใจ เพราะพระสิวลีไม่ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่ายๆ น้า

ส่วนไม่ไกลกันนั้นจะเป็น “พระเปิดโลก” บางที่ก็เรียกกันว่า “พระสำเร็จ” ทำจากทองคำทั้งองค์ พระเปิดโลก เคยไปอยู่ที่มิวเซียมที่อังกฤษ เพิ่งส่งคืนตอนส่งมอบกลับประเทศ มีเรื่องเล่าว่าท่านอยากกลับบ้าน เลยมีการแสดงปาฏิหาริย์อะไรด้วย (ขอไปค้นก่อนว่าคือเรื่องอะไร) 

ส่วนมือที่ชี้ลง หมายความว่าพรที่ขอ ท่านจะประทานให้แท้

สรงน้ำพระประจำวันเกิด

จากนั้นเราก็จะไปสรงน้ำพระประจำวันเกิดค่ะ คุณซายทูนสอนวิธีที่ถูกต้องคือ

ต้องอธิษฐานขอพรด้านหน้าก่อน จากนั้นจึงจะไปสรงน้ำพระ ซึ่งแบ่งเป็น 2 วิธี แล้วแต่สะดวกแบบไหน
option1) สรงเท่าจำนวนอายุ +1

option2) กรณีอายุเยอะแล้ว ลุกนั่งไม่สะดวก ให้สรงตามเลขกำลังประจำวัน 

อย่างเพลินเกิดวันพฤหัส เลขกำลังประจำวันคือ 19 
แต่เพลินยังสรงน้ำตามอายุไหวอยู่น่ะ อิอิ

 

เวลาสรงให้สรงพระพุทธรูปประจำวันเกิด เทวดา (เทพนัต) เสาประจำวันเกิด​ (สีแดง) และสัตว์ประจำวันเกิดข้างหน้า

เวลาสรงให้สรงพระพุทธรูปประจำวันเกิด เทวดา (เทพนัต) ด้านบน เสาประจำวันเกิด (สีแดง) และสัตว์ประจำวันเกิด (ด้านล่าง)

นอกจากนี้ ไหนๆ มาทั้งที เราสามารถทำบุญเปิดไฟพระเจดีย์ได้นะคะ เพลินเลือกเปิดทั้งวันเลย เรากำหนดวันได้ค่ะว่าจะให้เปิดวันไหน ถ้าไม่ประกาศก็จะเป็นของวันนั้นเลย

ราคา 15,000 จ๊าด (315-320 ฿)  เสร็จแล้วจะได้ใบประกาศมาด้วย เลือกได้ว่าใส่กรอบหรือไม่

พระสุริยันจันทรา

ว่ากันว่ากษัตริย์หญิงองค์หนึ่งของพม่าเป็นผู้สร้างพระสุริยันจันทราขึ้น พวกนักธุรกิจมักจะต้องมาไหว้ท่านเป็นประจำ มีความเชื่อว่าคนที่เริ่มต้นธุรกิจ หรือธุรกิจฝืดเคือง ชีวิตมืดมนอับจนหันทางให้มาไหว้พระสุริยันจันทราค่ะ สำหรับเพลิน พระองค์นี้สวยมากๆ ด้วย

ชเวดากององค์พี่

จริงๆ แล้วเพิ่งรู้ว่ามีองค์พี่ด้วย และมีขนาดเล็กกว่าองค์ใหญ่ (ที่เป็นองค์น้อง) เชื่อกันว่าชเวดากองที่สร้างองค์แรกคือองค์เล็กนี้ค่ะ 

ถ้าอยากให้พรที่ขอสำเร็จ ให้ยืนตรงมุมที่เห็นชเวดากององค์พี่นี้ อธิษฐานผ่านไปถึงองค์ใหญ่ พรจะสำเร็จค่ะ

ค่อย ๆ เดินชมและไหว้องค์พระไปเรื่อย ๆ ใจเย็นๆ จนตอนนี้แดดเปรี้ยงๆๆๆๆ เริ่มเหี่ยวแล้วค่ะ

เทพทันใจ (ชเวดากอง)

ไฮไลต์อีกอย่างคือเทพทันใจ (นัตโบโบจี) แห่งชเวดากองค่ะ โบโบจี คือ เทพเทวดาที่ปกปักรักษา (เราจะได้ยินชื่อนัต หรือ โบโบจี หลายที่ค่ะ) ท่านจะอยู่ในห้องกระจกร่วมกับพระอินทร์

Trick ขอพร

เวลาขอพรให้ยืนเรียงตรงกลางหน้าพระอินทร์ เทพทันใจ และชเวดากอง จากนั้นก็ ขอให้พรว่าให้พรที่เราขอในชเวดากองที่ผ่านมาทั้งหมดให้สำเร็จด้วยเถิด

จากนั้นสามารถเสี่ยงทายกับหินด้านหน้าได้ด้วยค่ะ

จากนั้นก็เข้าไปดูนิทรรศการภาพถ่ายในห้องแอร์สักแป๊บก็อำลาชเวดากองแล้วค่ะ ตอนนี้แดดแรงเปรี้ยงมากๆ

ถ่ายรูปกับคุณซายทูนเป็นที่ระลึกค่ะ

คุณซายทูน

จากนั้นเราก็ไปทานอาหารเที่ยงค่ะ จริงๆ ยังไม่เที่ยงแต่เพลินหิวแล้ว บอกคุณซายทูนไปว่าขออะไรก็ได้ อร่อยๆ ห้องแอร์เย็นๆ เค้าก็เลยพามาทานร้าน Minn Lann Seafood ค่ะ

Minn Lann Seafood Restaurant

ตอนหาข้อมูลชื่อร้านนี้ก็ผ่านตามาเหมือนกัน ว่าอร่อย สด และราคาพอโอเค เพลินสั่งอาหารจานเดียวมา เป็นเหมือนขนมจีนผัด (เรียกไม่ถูก จำชื่อไม่ได้) เผ็ดนิดๆ เปรี้ยวๆ เค็มๆ กำลังดี ที่ชอบคือน้ำจิ้ม กับน้ำซุปปลาๆ อร่อยดีค่ะ

แล้วก็กุ้งเผาอีกจาน กับน้ำอโวคาโดปั่น 

อิ่มอร่อยชาร์จพลังแล้วลุยต่อค่ะ ตอนนี้เรามาถึงพระเจดีย์โบตาทาวน์ หรือพระเจดีย์โบตะตองนั่นเอง

พระเจดีย์โบตาทาวน์ (Botahtaung Pagoda)

ความเป็นมา

ก่อสร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระพุทธเกศา 1 เส้น ที่ตปุสสะและภัลลิกะสองพี่น้องมานพชาวมอญได้อัญเชิญมาจากชมพูทวีปตั้งแต่ครั้งพุทธกาล แต่ต่อมาพระเจดีย์แห่งนี้ถูกถล่มด้วยระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เจดีย์โบตาทาวน์องค์เดิมถูกทำลาย และได้บูรณะขึ้นใหม่โดยบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐานใจกลางเจดีย์ นอกจากนี้พื้นที่พระเจดีย์โบตาทาวน์ยังมีพระพุทธรูปทองคำ ปางมารวิชัย ภายในเจดีย์ที่ประดับด้วยกระเบื้องสีสันงดงาม ตามด้วยพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเก็บรักษาไว้ในตู้กระจกอยู่ในบริเวณเดียวกับกับวิหารพระทองคำ

องค์นี้คุณซายทูนเล่าว่าเป็นทองเหลืองค่ะ สวยมากกกกกกกกก ส่วนตัวชอบองค์นี้เพราะดูสวยสงบแบบน่ารักดีค่ะ

พระทองเหลือง สวยงามวิจิตร
มุมฮิต

ต่อไปเป็นไฮไลต์สำคัญคือ “เทพทันใจ” นั่นเองค่ะ

เทพทันใจ (นัตโบโบจี)

เทพฮอตฮิตของคนไทย ที่เชื่อกันว่าอธิษฐานขอสิ่งใดกับท่านแล้วจะสมปรารถนาทันใจ เทพทันใจองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาริมน้ำด้านข้างของเจดีย์โบตาทาวน์ค่ะ โดยมีเงื่อนไขว่าเราต้อง “ขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น”

พร้อมกับนำดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม และผลไม้มาสักการะ เช่น มะพร้าวอ่อน, กล้วยนากสีแดง ฯลฯ หากไม่ได้เตรียมไป สามารถบูชาเครื่องไหว้ที่หน้าวัดได้ จากนั้นนำเงินธนบัตรม้วนเป็นกรวยเสียบไว้ที่มือขวาของเทวรูป 2 ใบ ก่อนกลับเดินเข้าไปให้ระดับหน้าผากของเราสัมผัสกับนิ้วชี้นัตโบยี ไหว้ขอพรและดึงกลับมา 1 ใบ รักษาไว้เป็นเงินขวัญถุง เท่านี้ก็เรียบร้อยค่ะ

ตอนเพลินทำก็ทุลักทุเลเพราะเกร็งค่ะ ดีที่ได้คุณซายทูนคอยอธิบาย แล้วก็โชคดีที่คนไม่เยอะมาก (เป็นวันธรรมดา) เลยทำให้มีสมาธิตอนขอพรค่ะ

ค่าเข้า 6,000 จ๊าด ประมาณ 130 บาท

เทพกระซิบ (อะมาดอว์เมี๊ยะ)

จากนั้นข้ามไปอีกฝั่งก็จะเป็นวิหารเทพกระซิบ อีกเทพขอพรที่คนไทยรู้จักดีค่ะ เป็นเทพธิดา ชื่อ อะมาดอว์เมี๊ยะ  เป็นธิดาพญานาคและมีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนา นางรักษาศีล ไม่กินเนื้อสัตว์ จนกลายเป็นนัตหรือเทพเจ้าที่ชาวพม่าเคารพนับถือ 

วิธีบูชาเทพกระซิบ

บูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้ (ตรงนั้นมีจัดชุดไว้ให้เลยค่ะ สะดวกมากๆ)  อันดับแรก คือ ยกมือไหว้พร้อมกับนำดอกไม้วางบูชา โรยดอกมะลิตรงหน้าเทพกระซิบ นำหลอดดูดกล่องนมจ่อบริเวณริมฝีปาก เสร็จแล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคุณป้าหน้าตาใจดี ตามด้วยการป้องปากเข้าไปกระซิบที่ข้างหูด้านซ้ายเบาๆ และอย่าให้ใครได้ยินนะคะ เชื่อว่าคำขอจะสำเร็จทุกประการ 

จากนั้นคุณซายทูนก็พาไปเช่าพระทันใจที่ร้านข้างๆ วิหารเทพกระซิบค่ะ สวยๆ หลายองค์เลย ระหว่างที่รอเราเลือก เค้าก็ไปสตาร์ตรถรอ เปิดแอร์เย็นฉ่ำให้ ดีจริงๆ

จากนั้นก็ตะลุยต่อค่ะ

วัดงาทัตจี (Nga Htat Gyi Pagoda)

ที่วัดงาทัตจีจะมีพระพุทธรูปหินอ่อนปางมารวิชัยองค์ใหญ่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เห็นแล้วก็ได้แต่ตะลึง ทรงเครื่องทองล้วนมลังเมลือง จะเห็นว่าเป็นการทรงเครื่องแบบกษัตริย์พม่าสมัยมัณฑะเลย์ สวยประณีตงดงาม และประดิษฐานอยู่ในร่ม สันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 สำหรับวิธีกราบไหว้ของชาวพม่า คือ ผู้ชายนิยมกราบไหว้แบบนั่งยองๆ ส่วนผู้หญิงจะนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น

วัดเจาทัตจี (Chauk Htat Kyi Pagoda)

วัดเจาทัตจี มีชื่อเรียกที่คนไทยรู้จักกันดีว่า “พระนอนตาหวาน” ซึ่งตอนนี้ปิดบูรณะอยู่ เลยได้ภาพแบบไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็ยังเห็นว่าตาหวานมากจริงๆค่ะ

จากนั้นก็ต่อที่วัดกาบาเอ้ค่ะ

พระเจดีย์กาบาเอ้ (Kaba Aye)

ขอสารภาพว่าเพลินไม่เคยได้ยินชื่อเจดีย์กาบาเอ้มาก่อน พอคุณซายทูนจะพาไปเพราะยังมีเวลาอีกเยอะ ก็เลยดีใจและตื่นเต้นมากๆ 

ลักษณะเค้าจะเหมือนอุโมงค์ถ้ำ ฟังคุณซายทูนเล่าประวัติแล้วจำไม่ได้ ก็เลยไปค้นๆ มา เลยได้ความมาว่า นายอูนุนายกคนแรกของพม่าได้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎก และที่นี่เคยเป็นที่ประชุมสภาสงฆ์ระดับโลกครั้งที่ 6 สร้างขึ้นในปี 1952 และมีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ในปี 1954 หลังพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ

ทีนี้ก็มาถึงคำว่ากาบาเอ้ มีความหมายว่า โลกแห่งสันติสุข หรือสันติภาพแห่งโลก ก็สอดคล้องกับองค์เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการประชุมสงฆ์อันทำให้เกิดสันติสุขแก่โลกแห่งพุทธศาสนา

พระเจดีย์กาบาเอ้ เป็นเจดีย์ทรงกลม มีความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน มีทางเข้าทั้งหมดห้าด้าน สวยงามแปลกตา

ตอนเพลินไปตรงโถงนั้นกำลังใช้จัดเป็นที่เตรียมสอบก็เลยจะโล่ง ๆ มีลักษณะเหมือนอัฒจันทร์

คุณซายทูนจึงพาข้ามมาอีกฝั่งที่เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้าย) พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวา) 

โดยนำพระธาตุมาจากประเทศอินเดีย อยู่ในห้องจำลองเหมือนถ้ำสัตตบรรณคูหาเมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย  (มิน่า เลยรู้สึกเหมือนอุโมงค์ถ้ำ)

และมีความเชื่อว่า “หากท่านใดได้ทำพิธีมงคลบูชารับพระธาตุทั้งสาม ทั้งชีวิตท่านนั้นจะหมดเคราะห์ ตัดกรรม และมีโชคดี ตลอดไป” 

เพลินโชคดีมากที่วันนั้นไปแล้วเค้ามีการอัญเชิญพระธาตุออกมาพอดี (เพื่อนเล่าว่าตอนเค้าไปไม่ได้มีการอัญเชิญพระธาตุออกมา) และได้ทำพิธีรับพระธาตุเป็นสิริมงคลด้วย

พระมหามุนีจำลอง (องค์จริงประดิษฐานที่มัณฑะเลย์) พระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อปีพ.ศ.2496 

ต่อไปเรามาต่อกันที่วัดพระเขี้ยวแก้วกันค่ะ

วัดพระเขี้ยวแก้ว(Swe Taw Myat Pagoda)

วัดนี้จะอยู่บนเนินหน่อยๆ ตอนนั่งรถไปจะถึงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่ปราสาทเทวดาเลยค่ะ

องค์เจดีย์เป็นทรงปราสาทแปดเหลี่ยม ปลายยอดประดับด้วยทองคำแท้ จัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบพุกาม ข้างในจะโล่ง ๆ ตรงกลางโถงเป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ค่ะ

พระเขี้ยวแก้วที่นี่ได้มาจากศรีลังกา ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของย่างกุ้ง

ค่าเข้า 2,000 จ๊าด ค่ะ

ต่อไปเราจะคั่นจังหวะวัดด้วยปางช้างเผือกกันก่อน เพราะอยู่ในเส้นทาง

ปางช้างเผือก (Royal White Elephant Garden)

ต่อไปเราจะคั่นจังหวะวัดด้วยปางช้างเผือกกันก่อน เพราะอยู่ในเส้นทางค่ะ

ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากช้างเผือกถูกล่ามไว้ น่าสงสารค่ะ เค้าเล่าว่าเอาออกมารับแขกตอนเช้า ตอนเย็นถึงจะเอากลับเข้าไปพักผ่อนค่ะ เห็นแล้วสงสารค่ะ ขอผ่านเร็วๆ

ต่อไปวัดสุดท้ายแล้วนะคะ วัดพระหินอ่อนนั่นเอง

วัดพระหินอ่อน (Kyauk Taw Gyi Pagoda)

วัดสุดท้ายเราก็จะเริ่มหมดแรงแล้ว ทั้งง่วงจากการตื่นเช้า ทั้งร้อนแดด แต่เพื่อความเป็นสิริมงคล สู้ตายค่ะ ขึ้นบันไดไปไม่สูงมาก

วัดพระหินขาวหรือที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเรียกกันว่าพระหินอ่อน สร้างจากหินขาวที่มีลักษณะมันวาว สีขาวสะอาดและไม่มีตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 60 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่ บริเวณด้านหลังพระพุทธรูปด้วย

จากนั้นยังพอเหลือเวลา คือไฟลต์ทุ่มครึ่ง เราควรไปถึงสนามบินสักห้าโมง คุณซายทูนเลยพาไปหาร้านนั่งทานแก้หิวและฆ่าเวลาไปก่อน ที่ร้าน Feel Myanmar เป็นร้านแนวอาหารตัก แต่ก็มีให้เลือกสั่งจากเมนู เพลินเห็นอาหารหลายอย่างหน้าตามันๆ ไม่น่าทาน เลยกะจะไปทานสนามบิน ตอนนี้ก็เลยสั่งขนมมารองท้อง จำชื่อขนมไม่ได้ แต่รสชาติจะเหมือนขนมกล้วย งาดำ ราดด้วยมะพร้าวขูด ก็อร่อยดีนะคะ ทานคู่กับชานมแบบพม่า คือชาเข้ม แต่นมคาร์เน่ชั่นก็เข้มด้วยชั่นกัน หวานมันแบบคนไทยชอบอ่ะค่ะ แต่ไม่ค่อยดีกับสุขภาพ

จากนั้นก็หมดที่ไปแล้ว คุณซายทูนก็ขับไปส่งที่สนามบินค่ะ ไปถึงเร็วหน่อยก็ดีได้เผื่อเวลา ก็ได้เวลาบ๊ายบายคนขับที่น่ารัก ใจดีคนนี้ เพลินเลยทิปเพิ่มไปเป็น 3,000 บาท จากที่ตกลงกันไว้ 2,500 บาทค่ะ

ราคาดี บริการดี แถมเก็บให้ทุกเม็ด อธิบายอย่างละเอียด คอยช่วยถ่ายรูปให้บ้าง ประทับใจมากๆ ค่ะ ทำให้ผู้หญิงคนเดียวก็เที่ยวได้น้า ไหว้พระได้ตั้ง 9 แห่งแน่ะ

จ้างคนขับที่มีความรู้อธิบายสถานที่ท่องเที่ยว พาเราเข้าชมได้นี่เป็นอีกทางเลือกที่เราไม่ต้องไปลำบากลำบนโบกรถเอง แถมยังมีคนอธิบายให้ด้วย นั่งรถแอร์เย็นฉ่ำ เข้าวัดก็ฝากรองเท้าไว้ในรถได้ (พม่าต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าเข้าวัดนะคะ) ฝากของที่หนักๆ ไม่จำเป็นไว้ได้โดยปลอดภัย เดินสะพายใบเล็กๆ เข้าวัดก็พอ คือดีมากค่ะ

SUMMARY

TRIP: 1-day Trip in Yangon
Concept: ไหว้พระ 9 แห่ง
Travel: Lion Air Thai
Ticket Price: Round – trip around 3,1xx – 3,5xx THB
People: Alone
Mode of Travel: by car (เช่ารถพร้อมคนขับ)
Driver Contact: คุณซายทูน (Line: easytalkman)
Rate: 2,500 THB/ Day (ถ้ามากกว่า 4 คนจะไม่ใช่เรทนี้) ไม่รวมค่าทิป ค่าเข้าชมสถานที่ ค่ากิน
Vehicle: Mini van
Visiting fee: ชเวดากอง 10,000 mmk / โบตะทาวน์ 6,000 mmk /พระเขี้ยวแก้ว 2,000 mmk
ค่าทำบุญจิปาถะและดอกไม้ธูปเทียน: ประมาณ 3,000 mmk
ค่ากินและอื่นๆ: ประมาณ 2,000 mmk

Total: ~6,900 THB หรืออาจต่ำกว่านี้ค่ะ ตัวเลขนี้เพลินตีไว้สูงกว่าความเป็นจริงหน่อยทั้งค่าเครื่องบิน ค่ากินและอื่นๆ

มีข้อสอบถามทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะค้า เพลินจะรีบมาตอบให้เร็วที่สุดค่ะ

#เที่ยวเพลิน #travelwithploen #ploenthejourney

Contact me:
ploenthejourney@gmail.com
Facebook: @ploenthejourney (https://www.facebook.com/ploenthejourney )
or leave comments here.


Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.