Japan in Winter at Peak Time เที่ยวญี่ปุ่นช่วงพีค & รับลมหนาว (24 Dec – 1 Jan)

ทริปญี่ปุ่นครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษ เพราะเราไปในช่วง Peak Time คือ คริสต์มาสและปีใหม่ อีกทั้งยังแพลนล่วงหน้าได้ช้ามากเพราะตารางผู้เดินทางแต่ละคนไม่แน่นอน ทำให้จองอะไรต่อมิอะไรช้าไปสักหน่อย แม้ตั๋วเครื่องบินก็ยังช้า ฮ่าๆๆ

ครั้งนี้เราเดินทางกัน 5 คนเป็นครอบครัวค่ะ มีผู้ใหญ่ 4 เด็กอายุแปดขวบ 1 คนค่ะ ทริป 8 วัน ในญี่ปุ่นเราจะอยู่กันหลัก ๆ ที่เมืองโตเกียว คารุอิซาวา และคาวากูจิโกะ โดย Route จะเป็นแบบนี้ค่ะ

Tokyo – Karuizawa – Kawaguchiko – Tokyo

ทริปนี้จะไม่ฟิกซ์มาก ไปสบาย ๆ เดินเล่น กิน ๆ เก็บบรรยากาศค่ะ เลยหาที่เที่ยวไว้คร่าว ๆ มีที่ต้องฟิกซ์คือตั๋วโดยสารรถไฟกับรถบัสกับโรงแรมค่ะ


โดยสิ่งที่จองมาจากเมืองไทยคือ
1. โรงแรมที่ Tokyo, Karuizawa, Kawaguchiko
2. รถบัสจาก Tokyo – Karuizawa และ Kawaguchiko – Tokyo


JR WIDE PASS ซื้อล่วงหน้าไม่ได้ ต้องไปซื้อที่ญี่ปุ่นนะคะ ที่สนามบิน Narita ก็มี พวกเราเลยจะไปซื้อที่นั่นกันค่ะ

DAY 0 Depart from Thailand

เพลินอยู่เชียงใหม่ค่ะ เลยเริ่มออกเดินทางจากเชียงใหม่ ไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ จึงนั่งการบินไทยไปโดย Check through ให้กระเป๋าไปไปลงโตเกียวเลย
ออกจากเชียงใหม่ 19.20 ถึงกรุงเทพ 20.40 ก็ไปนั่งเลาจน์รอค่ะ

ไฟลต์ออก 23.50 วันที่ 24 ธันวาคม 2561ไปถึงสนามบิน Tokyo Narita 7.30 น. วันที่ 25 ธันวาคม 2561 เวลาที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมงค่ะ

Quick Fact:
Airlines: Thai Airways
Depart From: ChiangMai
Transit: Bangkok
Lounge: Wisdom, Thai Royal Silk

Destination: Tokyo Narita Airport

DAY1: Tokyo

พอถึงสนามบิน ผ่านตรวจคนเข้าเมืองรับกระเป๋าเรียบร้อย พวกเราก็เดินตามป้าย info เพื่อไปซื้อบัตร JR WIDE PASS ใช้นั่งรถไฟ JR ในโตเกียวและแถบคันโต รวมถึงนั่งรถไฟด่วน Shinkansenได้ด้วย

เพลินดูเที่ยวรถชินคังเซ็นจากคารุอิซาว่าไปคาวากูจิโกะมาจากไทยแล้ว แต่ถึงยังงั้นเราก็ให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูรูท เส้นทางต่าง ๆ ว่าโอเคไหม ให้เค้าเช็กให้ก็สะดวกดี พอรู้รูทก็ให้เค้าจองที่นั่งชินคังเซ็นให้เลย (JR WIDEPASS ใช้ชินคังเซ็นได้ค่ะ) และเค้าก็จะหา Best Route ให้เราด้วย เพราะจากคารุอิซาว่าไปคาวากูจิโกะ เราต้องมาเปลี่ยนขบวนสองต่อที่โตเกียวค่ะ ให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูก็โอเค

จากนั้นก็ถึงเวลาเดินทางไปโรงแรม พวกเราห้าคนมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ กระเป๋า carry-on ใบเล็ก และเป้ กระเป๋าสะพายจุกจิก รวมแล้วก็ไปแทกซี่ไม่ไหวต้องแบ่งสองคันแน่ ๆ ก็เลยจะนั่ง Airport Limousine Bus เป็นบัสจากสนามบินไปลงตามสถานีหรือป้ายต่าง ๆ ก็เลยจองตั๋วรถบัสที่เคานต์เตอร์ใกล้ทางออกค่ะ ได้รอบ 9.35 น. เดินออกมาไม่เท่าไหร่ก็เห็นป้ายเบอร์ 2

นั่งมาลง Shinjuku ค่ะเพราะโรงแรมเราอยู่ในย่าน Shinjuku รถจอดที่ Shinjuku Station West Side คือฝั่งตะวันตก แต่โรงแรมเราอยู่ใกล้ East Side มากกว่า ก็เลยต้องเดินกันสัก 15 นาทีกว่าจะถึงโรงแรมค่ะ อากาศเย็นสบาย ๆ ก็เลยพอเดินเข็นกระเป๋าสัมภาระกันมาได้

จริง ๆ โรงแรมอยู่ใกล้สถานีฝั่งตะวันออกมาก คือออกมาก็เดินตรงถึงโรงแรมเลย ใกล้มาก สะดวกมาก แต่รสบัสลิมูซีนมาลงตะวันตก ก็เลยไกลหน่อย แต่ก็ลำบากแต่ตอนนี้อะเนอะ เดี๋ยวก็สบายแล้ว

ถึงแล้วค่ะโรงแรมที่พัก ทำเลดีมากๆๆๆๆ ชื่อ Hotel Gracery Shinjuku หรือที่คนไทยรู้จักกันดีว่า โรงแรมก๊อตซิลล่านั่นเอง

ต้องเข้าทาง Toho Building ขึ้นลิฟต์มาชั้น 8 เป็นลอบบี้ค่ะ หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ มีโปสเตอร์ก๊อตซิลล่าติดผนังเรียงรายแบบนี้ เด็กก็จะชอบมากค่ะ

Hotel Gracery Shinjuku (Hotel Godzilla)
Hotel Lobby ลอบบี้ก็จะโมเดิร์นแบบนี้ พนักงานทำงานรวดเร็วและคุ้นกับคนไทยดี มีภาษาไทยกำกับหลายที่มากๆเลยค่ะ
Godzilla Head on 8th floor อยู่ตรงระเบียงด้านนอกของชั้นแปดที่เป็นลอบบี้ค่ะ

เราจองห้องพัก 2 ห้องนะคะ ของครอบครัวพี่สาว 1 ห้อง (พ่อแม่ลูก) และตัวเพลินกับคุณป้าอีก 1 ห้องค่ะ วิวห้องพักก็จะเห็นตึกสูงโตเกียวชัดมาก

Tokyo view from Hotel Room

ห้องพักก็ไม่ใหญ่มาก แต่จัดพื้นที่ใช้สอยดีมากค่ะ มีอ่างล้างหน้าแยกจากห้องน้ำ และห้องอาบน้ำกับห้องส้วมแยกกัน

จากนั้นใกล้เที่ยงพอดี เราก็ไปเริ่มมื้อแรกที่อาหารญี่ปุ่นด้านล่างตึกนี่เลยค่ะ อยู่ชั้นล่างของตึก Toho Building ที่ตั้งโรงแรมนี่เอง ชื่อ ITAMAE SUSHI

Itamae Sushi ใต้โรงแรม

พวกเราก็สั่งกันอลังการมากค่ะ มีไอแพดให้จิ้มสั่งนะคะแต่เราสั่งกับพนักงานดีกว่าชัวร์ดี

โดยรวมอาหารก็พอใช้ได้ อร่อยระดับโอเค แต่ไม่ว้าวมาก พอแก้หิวได้ไม่แย่นักค่ะ แต่คงผงชูรสหนักมากเพราะหลังจากนั้นก็หิวน้ำคอแห้งมากเลยค่ะ

หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นกับงีบหลับสักชั่วโมงเพราะนอนน้อย ก็ได้เวลาอาหารเย็นอีกรอบ พวกเราตั้งใจมาจัดปิ้งย่างอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อค่ะ คือ Isamaru Suisam แล้วร้านก็อยู่ตรงข้ามโรงแรมด้วย แต่หน้าตาไม่เหมือนที่รีวิวก็เลยหาไม่เจอ!

แต่มันมีหลายสาขา พวกเราก็เลยเดินหาอยู่พักใหญ่ งม Google map ไป เดินสัก 10 นาทีถึงจะมาถึงสาขาที่หน้าตาร้านเหมือนรูปในรีวิว (แต่ในรีวิวก็พูดถึงสาขาหน้าโรงแรมแล้วใช้รูปของอีกสาขา งงใจ) ในที่สุดก็ถึงค่ะ

Isamaru Suisam สาขาตรงข้ามโรงแรมก๊อตซิลล่า

Isamaru Suisam สาขาที่เราไปทานหน้าตาสวยแบบนี้ค่า เป็นอิซากายะซีฟู้ด ปิ้งย่างอาหารทะเล เด็ดที่หอยชนิดต่างๆ และมันปู

Isamaru Suisam สาขาที่เราไปทานค่ะ

บรรยกากาศในร้านก็จะประมาณนี้ แต่คืออยู่ไปจะเหม็นควันอบอวลมากกกกก

บรรยากาศในร้าน

หอยสารพัดชนิดเอย มันปูนานาชนิดเอย แล้วยังมีปลาไข่ มีชีสทอดให้ย่างเองเลย อร่อยแบบต้องร้องขอชีวิต!

อร่อยมาก
สุดยอดมันปู

อร่อยมากกกกกกก แต่ก็หัวเหม็นมากกก ตัวเหม็นมาก ยิ่งเป็นอาหารทะเลกลิ่นคาวบวกกลิ่นควันยิ่งแรง เราอยู่สักพักเริ่มแสบตาจนต้องขอกลับก่อนค่ะ

อิ่มหนำสำราญ

Quick Summary of the Day
Airport Limousine Bus to Shinjuku Station (West Side)
Hotel Gracery Shinjuku (Godzilla Hotel)
Itamae Sushi (Toho Building)
Isamaru Suisam

Day2 Tokyo – Karuizawa

เช้านี้เราต้องตื่นเช้ากันมากๆ เพราะจะต้องนั่งรถบัสไปลงคารุอิซาว่า (Karuizawa) ที่เราไม่นั่งรถไฟเพราะมันเปลี่ยนหลายต่อ กลัวจะวืด นั่งรถบัสก็ถึงตรงสถานีเลยค่ะ จองได้ที่ Japanbusonline.com ค่ะ จองเสร็จก็ปรินท์ Confirmation Email มาด้วย ไม่มีเป็นตั๋วให้ค่ะ เค้าเน้นว่าให้ปรินท์มาด้วยเผื่อเปิดจากมือถือไม่ได้นะคะ

วันนี้พวกเราแพคกระเป๋าลากใบเล็กสำหรับไปค้างคืน 3 คืนค่ะ

เราขึ้นรถบัสที่ Ikebukuro ค่ะ นั่งแทกซี่จากโรงแรมไปเพื่อความชัวร์ เพราะกลัวงมเองแล้วจะเลทค่ะ ซึ่งก็คิดถูก เพราะพอถึงปุ๊บเราหาจุดขึ้นรถบัสไม่เจอค่ะ ไม่มีป้ายบอกชัดเจน แล้วอีเมลคอนเฟิร์มก็ไม่ระบุอะไรทั้งนั้น และเนื่องจากยังเช้ามากๆๆๆๆ Tourist info ยังไม่เปิด
ก็อาศัยเสิร์ช Pantip จนเจอค่ะ เอากะเค้าสิ

จริงๆ ในอีเมลคอนเฟิร์มของบัสเค้ามีจีพีเอสลิงค์มาให้เลยนะคะ แต่กดแล้วมันพาเดินซะมั่ว แต่สุดท้ายก็เดินตามจนเจอค่ะ ดีที่เผื่อเวลามาถึงก่อนรถออกนานหน่อย รถออก 8.10 พวกเรามาถึง 7.10 มีเวลาเดินงมหา ไม่ต้องลุ้นค่ะ

นั่งมาราวๆ 2-3 ชั่วโมงก็ถึง Karuizawa Station เค้าจะดรอปเราตรงนี้ พอเห็นสถานีหน้าตาแบบนี้ ให้เราขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปยังตัวสถานี เลี้ยวซ้าย แล้วลงบันไดไปฝั่ง North จะเห็น Prince Shopping Plaza ที่เป็น Outlet ค่ะ

Karuizawa Station

พอข้ามมาถึงฝั่งนี้ รถตู้จากโรงแรมเค้าจะมารอเราตรงนี้ทุกชั่วโมง แต่พอเรามาถึงหมดรอบรถพอดี ก็เลยกะจะทานอาหารกลางวันและเดินเล่นแถวเอาท์เลทนี่แหละค่ะ เพราะโรงแรมอยู่กลางป่า ไม่มีร้านอะไรแถวนั้น ก็ทานแถวนี้ไปสะดวกดี

เห็นGucci ใหญ่เบ้อเริ่มอย่างนี้เลย

Outlet

เราทานอาหารเที่ยงที่ Food Court ค่ะ ราคาโอเค ชามใหญ่มาก คนเยอะมาก

Food Court

แถวนั้นมี 7-11 เราก็แวะซื้อน้ำ ซื้อขนมก่อนกลับโรงแรมกันค่ะ
พอถึงรอบ13.30 รถโรงแรมก็มาพอดี นั่ง 15 นาทีก็ถึงค่ะ

โรงแรมแห่งนี้ชื่อ Le Grand เป็นโรงแรมรีสอร์ตกลางหุบเขา เพิ่งเปิดใหม่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 นี่เองค่ะ ใหม่มากๆๆๆๆสวยงามอลังการ และบริการดีมาก ได้บรรยากาศดีด้วยค่ะ

แล้วมาชมความอลังการของลอบบี้และห้องโถงค่ะ อย่างกับหลุดไปในปราสาทฝรั่งเศส

ห้องพักก็ใช่ย่อย อย่างกับอยู่ในปราสาทค่ะ กว้าง สวย และอลัง

จากนั้นก็ออกมาเดินเล่นรอบ ๆ รีสอร์ตสักหน่อยค่ะ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รีบชมก่อนแสงหมด รีสอร์ตนี้กว้างทีเดียว มีหลายโซน และมีทะเลสาบสวย ๆ ให้ไปชมบรรยากาศด้วยนะคะ ตอนเราไปน้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งแล้วค่ะ ได้อีกอารมณ์

ห้องอาหารโรงแรมต้องจองล่วงหน้า และราคาค่อนข้างสูง เราเลยตัดสินใจไปหาไรทานในตัวเมืองตรงสถานีที่เราจากมาเมื่อกี้แหละค่ะ โดยจะนั่งรถตู้โรงแรมไป รถตู้โรงแรมจะออกทุกชั่วโมงค่ะ พอ 18.00 เราก็นั่งกลับไปสถานี แถวนั้นมีร้านอาหารสวยๆ อร่อย ๆ เยอะแยะเลยค่ะ ต้องดูฝั่งติดถนนใหญ่นะคะ ไม่ใช่ร้านด้านในเอาท์เลทค่ะ

เราเลือกร้าน Monzen Yoshoku Fujiya เพราะดูสวย โมเดิร์นและอาหารน่าทาน

Shrimp Cruquette
ข้าวแกงกะหรี่ไก่

อร่อยมากค่ะ โดยเฉพาะไอติม แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ฮ่าๆ
หลังจากนี้ไม่มีรถโรงแรมแล้วค่ะ (หมดรอบหกโมง) ก็เลยนั่งแทกซี่กลับโรงแรมกันค่า หมดไปอีกหนึ่งวัน

Quick Summary of the Day
Bus to Karuizawa Station (Depart from Ikebukuro)
Karuizawa Station – Outlet – Food Court
Le Grand Hotel
Monzen Yoshoku Fujiya


Day 3 Karuizawa

จริงๆ วันนี้โปรแกรมคือพาหลานไปเล่นสกี หรือเล่นหิมะที่ลานสกี แต่ปีนี้หิมะน้อยมากเลย ถึงอย่างนั้นหลานก็ยังเอ็นจอยเครื่องเล่นกะหิมะแถวนั้นอยู่นะคะ ลานสกีนี้อยู่ข้าง ๆ Karuizawa Station เลยค่ะ จากสถานีมีรถจาก Prince Hotel Ski Resort มารับที่สถานีมาส่งที่นี่ ซึ่งจริงๆ ก็เดินได้ค่ะ

Ski Fields
Ski Fields

แต่น้าไม่ได้อยากเล่นสกีก็เลยแยกวงไปเดินเล่นค่ะ เดินจากลานสกีกลับไปตั้งหลักที่สถานีรถแป๊บ อากาศเย็นมากก เดินไม่ไกลแต่ลมแรง หน้าชาไปหมด ต้องหาอะไรร้อนๆ ทานก็มาได้ร้านคาเฟ่โมเดิร์นชื่อ Cafe Comme Ça

สั่ง Matcha Latte กับขนมเค้กมาทาน ฟินมาก

จากนั้นก็เดินเล่นในตัวเมืองค่ะ คือเดินขึ้นบันไดสถานีกลับไปอีกฝั่ง ลงบันไดยาวที่ข้ามไปถึงตัวเมือง ฟ้าสดใสมาก

แต่….​ทำไมปิดคะ นี่วันที่ 27 นะคะ แงๆ ร้านอะไรก็ปิดไปหมดเลย แทบทุกร้านเลยค่ะ เลยได้แต่เดินชมและถ่ายรูปเล่น

จากนั้นก็กลับไปสมทบกับครอบครัวพี่สาวอีกที แล้วนั่งแทกซี่ไป Harunire Terrace เหมือนเป็น Community Mall ฮิปสเตอร์หน่อย ๆ ไม่ติดอะไรเลย ต้องนั่งแทกซี่อย่างเดียวค่ะ อากาศเย็นมากราว 2 องศาก็เลยหนาวๆ ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ อะไรก็ปิด ๆ ไม่ค่อยคึกคักค่ะ

ด้วยความที่หนาวมาก ต้องการของร้อน เราเลยเดินเข้าร้านกาแฟที่เป็น Book Cafe กึ่ง library ด้วยชื่อ Maruyama Coffee ค่ะ สั่ง Hot Chocolate มาทาน ค่อยรู้สึกดีขึ้นมา ฮ่าๆ

จากนั้นก็นั่งแทกซี่กลับที่พักค่ะ เนื่องจากอยู่ in the middle of nowhere ก็เลยให้ทางร้านเรียกแทกซี่ให้ค่ะ เค้าก็ใจดีมากๆ เลย

Quick Summary of the day
Prince Ski field
Karuizawa Station – Cafe Comme Ça
Karuizawa city centre
Harunire Terrace

Day4: Karuizawa – Kawaguchiko

เช้านี้เราต้องออกจากคารุอิซาว่าไปคาวากูจิโกะแล้วนะคะ ตื่นมาอากาศเย็นลงกว่าเมื่อวาน เปิดระเบียงห้องออกมาชมก็อื้อหืออออ หนาว และสวยยยแบบฤดูหนาว

แล้วก็ลงมาทานอาหารเช้า จากนั้นก็เอ็นจอยในโรงแรมอีกสักนิด สวยอ่า ชอบบ

แล้วเราก็นั่งชัทเทิลบัสโรงแรมไปสถานีตอนสาย ๆ ค่ะ ผ่านวิวในรีสอร์ตสวยสะกดใจแบบสงบมากกกกก นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ ชอบบ ถ้าไปโรงแรมยอดฮิตน่ะเหรอ ตลาดสดดีๆ นี่เอง

จาก Karuizawa – Kawaguchiko ไม่มีรถไฟตรง เราจะต้องนั่ง Shinkansen ไปลงโตเกียวก่อน จากนั้นก็นั่งรถไฟแบบช้า ๆ ยิงยาวสองชั่วโมงถึง Kawaguchiko (ซึ่งเรามีบัตร Wide pass แล้ว เราจะใช้จากโตเกียวไปคาวากูจิโกะค่ะ)

บัตรโดยสารชินคังเซ็น

บัตร JR TOKYO WIDE PASS

ถึงแล้วค่ะ Kawaguichiko Station สถานีเล็ก ๆ น่ารัก แต่อัดแน่นไปด้วยผู้คน พวกเราไปถึงประมาณ 16.30 น. แต่ฟ้าเริ่มมืดลงหน่อย ๆ แล้ว รูปที่ลงนี้ถ่ายรูปเช้าวันถัดไปค่ะเลยเป็นแสงนี้

Kawaguchiko Station

เห็นฟูจิซังตั้งตระหง่าน

จากที่ทำการบ้านมา (หน่อยๆ) มีคนแนะนำให้ทานร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามสถานี จะเห็นวิวภูเขาไฟฟูจีระหว่างทางด้วยไม่มีชื่อร้านก็เลยยึดตามป้ายร้าน ชื่อ Japanese Restaurant Mt. Fuji View

Japanese Restaurant Mt.Fuji View

ได้วิวฟูจีสวยจริงแต่มีสายไฟระโยงระยางบังก็เลยถ่ายจากในร้านไม่สวย

พูดถึงอาหารก็อร่อยกลาง ๆ ไม่ได้ว้าวมาก แต่แพงสะบัดเลยค่ะ แพงมาก
ข้อดีคือคุณป้าเจ้าของร้านดูกระฉับกระเฉงช่างบริการมาก

ทานเสร็จจ่ายเงินแคชเชียร์ด้านล่างค่ะ แล้วเราก็ไปซื้อของที่ Family Mart ใกล้ ๆ ตุนเป็นเสบียงเพราะรีสอร์ตที่เราจะไปพักไม่มีร้านขนมอาหารเสบียงอะไรให้ทั้งนั้น นอกจากอาหารเช้าอันเก๋ไก๋

เนื่องจากโรงแรมที่เราจะไปพักอยู่ไกลสักหน่อย ก็จะมีรถโรงแรมมารับที่สถานีรถไฟ โดยจะมีป้ายเบอร์ 10 ให้เราไปยืนรอค่ะ ส่วนใหญ่โรงแรม รีสอร์ตต่าง ๆ ก็จะนัดมารับที่ป้ายนี้ค่ะ

หนาวมาก ฟ้ามืดแล้วตอนนี้ ในที่สุดรถก็มาค่ะ

โรงแรมของเราเป็นกึ่งรีสอร์ต บ้านพักเป็นกระท่อม (คอทเทจ) แยกเป็นหลัง ๆ ชื่อ Ban Cottage  

ตอนไปถึงคือมืดสนิทไม่เห็นวิว รูปนี้เพลินถ่ายตอนเช้าอีกทีค่ะ

ออฟฟิศเช็กอิน

เอาล่ะ มาดูภายในคอทเทจของเรากันค่ะ นอนได้เป็นโขยงเลย มีห้องใต้หลังคาด้วยนะ
คือจะมีโถงกลาง มีครัว ห้องอาบน้ำ บริเวณล้างหน้า และส้วมสองห้อง
ห้องนอนมีแบบห้องนอนญี่ปุ่นโดเรมอน และห้องเตียงคู่ กับห้องใต้หลังคาค่ะ บรรยากาศดีสุดๆ

ฮีตเตอร์มีแต่ในโถงกลาง ดังนั้นคนที่นอนในห้องก็ต้องเปิดประตูไว้ ไม่งั้นหนาวพีคค่ะ อากาศคาวากูจิโกะเย็นกว่าคารุอิซาว่ามาก และยิ่งตอนกลางคืน…​-6 องศาค่ะ

Quick Summary of the Day
Karuizawa – Tokyo – Kawaguchiko by Shinkansen, JR (Use JR TOKYO WIDE PASS)
Hotel Cottage Ban

Day5 Kawaguchiko – Tokyo

เราเลือกได้จะไปทานอาหารที่ลอบบี้หรือสั่งมาทานที่ห้อง ก็ต้องเลือกสั่งมาทานที่ห้องนะคะ จะได้บรรยากาศกระท่อมน้อย ๆ ได้ฟีลมาก ๆ เลยค่ะ เลือกว่าจะให้มารอบไหนได้ โดยเริ่มตั้งแต่ 7.30-9.00 ค่ะ เราก็เลือกสัก 8.00 ค่ะ เพราะเดี๋ยวต้องเช็กเอาท์

น้ำซุปกับไส้กรอกอร่อยนัวมากกกก

อาหารเช้าวันนี้

วิวจากคอทเทจก็จะเห็นฟูจีสวย ๆ แบบนี้

จากนั้นเราก็เช็กเอาท์ แล้วนั่งรถจากโรงแรมไปลงสถานีคาวากูจิโกะ
แล้วเอากระเป๋าไปฝากล็อกเกอร์หยอดเหรียญด้านหลังสถานี (มีป้ายบอกชัดเจน เดินไม่ไกล) บ้านเพลินใช้ 3 ล็อกเกอร์ ค่าเช่า 700 เยนค่ะ ก็หยอดไปสะดวกมากๆ ได้ 24 ชั่วโมงแน่ะ

จากนั้นเราก็ไปซื้อบัตรขึ้นรถบัส City tour แบบ Redline คือวนรอบทะเลสาบคาวากูจิโกะและสถานที่สำคัญ มีแต่แบบ 2 day ค่ะ ผู้ใหญ่ 1500 เยน/คน เด็กก็ครึ่งนึงค่ะ

เนื่องจากเราจะขึ้นขึ้นเคเบิ้ลคาร์ (กึ่งๆ กระเช้า) ไปชมภูเขาฟูจีด้านบน ก็ต้องลงป้าย 11 (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) มันจะบอกว่า Ropeway ค่ะ จากนั้นก็ต้องต่อคิวซื้อบัตรกระเช้าค่ะ ผู้ใหญ่ 800 เด็ก 400 เยนค่ะ

คนเยอะเบียดเสียดเป็นปลากระป๋องมากค่ะ สรุปถ่ายที่คอทเทจที่พัก สวยสุด ไม่ติดคนด้วยค่ะ นี่กว่าจะได้สักรูปต้องรอนาทีทองปลอดคน

จากนั้นลงมาก็แวะซื้อคุ้กกี้ร้านนี้อร่อยมากนะคะ Fujiyama Cookie

จากนั้นเราก็ขึ้นบัสแวะตามป้ายต่าง ๆ เพื่อชมวิวทะเลสาบ วิวภูเขาไฟ และเก็บบรรยากาศ แต่ก็หนาวและคนเยอะมาก ๆ แวะป้ายนึงด้วยความหิว เป็นป้าย Kawaguchiko Museum of Art ฝั่งตรงข้ามมีร้านสไตล์กระท่อมชื่อ Houto Labo เป็นซุปหม้อไฟ ราคาสูง รสชาติกลางๆ

และเนื่องจากมิวเซียมปิดเราก็ได้แต่เตร็ดเตร่ไปเรื่อยจนมาหยุดที่ป้ายเบอร์ 17 หรือ 18 นี่แหละค่ะ จะมีคาเฟ่แมวและเป็นมิวเซียมแมว (ป้ายเดียวกับที่มี mokey show) โอ้โห สงบมาก ได้วิวทะเลสาบและภูเขาฟูจีแบบสวย ๆ ไม่ต้องพยายาม รู้งี้ไม่ขึ้นกระเช้าค่ะ ฮ่าๆ

แล้วเราก็รีบกลับไปที่สถานีรถไฟ เอากระเป๋าแล้วขึ้นรถบัสกลับโตเกียวค่ะ รอบ 18.15
จองมาตั้งแต่เมืองไทยผ่าน Japan Bus Online สถานีนี้เล็กๆ ไม่ต้องหาอะไรซับซ้อนค่ะ นั่งยิงยาวมาถึงโตเกียวสถานี Akihabara

จากนั้นใช้ JR TOKYO WIDE PASS นั่ง JR ที่สถานี Akihabara กลับ Shinjuku โดยคราวนี้ออกทางออก East Exit เดินตรงปรืดเดียวถึงโรงแรมเลยค่ะ อ้อ เราพักโรงแรมเดิมนะคะ ฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ตอนไปคารุอิซาว่าค่ะ พอกลับมาถึงก็เช็กอินใหม่อีกรอบ เค้าก็จะเอากระเป๋ามาให้ค่ะ

Quick Summary of the Day
Kawaguchiko Sightseeing (Redline bus, Ropeway ticket)
Bus back to Tokyo

Hotel Gracery Shinjuku

Day 6 TOKYO (Shinjuku – Ginza)

เนื่องจากเป็นโปรแกรมชิล ๆ ซ่อมร่างจากการเดินทางหนักหน่วงก็ตื่นสายหน่อย ครอบครัวพี่สาวจะพาลูกชายไป Lego Land เราก็เลยจะไปเดินเล่นกินซ่า โปรแกรมของเราอาจจะประหลาดกว่าคนอื่นตรงที่เรา อยากจะไปเดินร้านขายยา ร้านบิวตี้ และจะแวะร้าน FANCL ชอปเครื่องสำอาง อาหารเสริม

เริ่มจากตอนสาย ๆ เราไปเดินละแวกโรงแรมนี่แหละ ก็กลางเมืองแล้ว แวะเข้าร้าน Matsumoto บ้าง ร้านยาท้องถิ่นบ้าง ซื้อบิวตี้ไอเท็มจุกๆ จิกๆ สนุกสนานแล้วก็เอาของมาเก็บที่โรงแรม สะดวกมาก

จากนั้นก็จะออกไป Ginza เสียดาย JR TOKY0 WIDEPASS ซึ่งใช้ได้ 3 วัน วันนี้วันสุดท้าย คือมันจะใช้ได้แต่รถไฟสาย JR เราก็เลยใช้ widepass นั่งจากชินจุกุ ไปลง ชิบุย่า (Shibuya) จากนั้นถึงจะเปลี่ยนเป็น Metro สาย Ginza

ถึงปุ๊บก็หิว ตั้งใจไปกินมัทฉะร้านนึงที่ตึก Pola เดินไกลมากเพื่อพบว่ามันเต็มแล้ว…! โกรธจัง เลยเดินย้อนกลับมาด้วยความโมโห และสุ่มเข้าร้านนึงที่ดูคนเยอะ ด้านล่างเป็นเบเกอรี่ ที่คนเยอะคือเค้ามาซื้อเบเกอรี่ ด้านบนเป็นคาเฟ่ เราก็เข้าเลยค่ะ

ร้านชื่อ Ginza Kimuraya สั่งแซนวิชกุ้งทอด อร่อยมากกกกกกกก และด้วยความที่โมโหมัทฉะปิดเราเลยสั่งไอติมชาเขียวถั่วแดงมากินซะเลย

แซนวิชกุ้งทอดอร่อยมาก

จากนั้นท้องอิ่มก็ถึงเวลา Fancl ร้านอยู่ไม่ไกลจากปากทางสถานีค่ะ ขึ้นมาปุ๊บเดินนิดนึงถึงเลย เป็น International Shop ค่ะ ทำ Tax Refund ได้ คนจีนเพียบค่ะ พนักงานพูดจีนได้ และพูดอังกฤษได้น้อยมาก

เยอะดีค่ะ

ขากลับเจอโชว์รูมรถ Concept Car ของ Nissan เปรี้ยวมากก

เรานั่งกลับมาลงชินจุกุ เดินย้อนกลับมาเก็บของที่โรงแรม พี่สาวที่กลับจากเลโก้แลนด์ก็ชวนไปทานร้านเนื้อย่างที่เค้าไปทานเมื่อวานนี้ (แต่เราไม่ได้ไป) บอกอร่อยมาก อยู่ตรงถนนหน้าโรงแรมนี่แหละ ชื่อ Yakiniku Blackhole

เราไม่ทานเนื้อ แต่หมูก็อร่อยมาก คนทานเนื้อน่าจะชอบมากค่ะ บ้านพี่สาวเราสายเนื้อ ฟินของฟินเลยค่ะ

Yakiniku Blackhole
Yakiniku Blackhole

ทานเสร็จออกมาฟ้าก็มืด เห็นแสงสีชินจุกุยามค่ำคืน

Quick Summary of the Day
Shinjuku
Ginza (Kimuraya, Fancl)
Yakiniku Blackhole

Day7 Sugamo

วันนี้เป็นวันที่ 31 ธันวาคมแล้ว ไปที่ไหนคนก็เยอะ เพลินเลยพาทุกคนมาเปลี่ยนบรรยากาศมาเดินย่านที่เรียกกันขำๆ ว่าเป็น “ฮาราจุกุคุณยาย” นั่นก็คือถนน Sugamo นั่นเอง ก็จะเป็นถนนคนเดินแบบ Retro มีกลิ่นอายเก่าแก่ โบราณ และมีแต่ผู้สูงอายุเดินเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะน่าเบื่อนะคะ เพลินว่ามีเสน่ห์มากๆ และนักท่องเที่ยวน้อยมากค่ะ ได้ฟีล Local มาก

ก็จะมีของกิน ของที่ระลึกแบบ Local น่ารักๆ ดีใจที่พาตัวเองมาที่นี่ค่ะ มันสบายใจ สบายตัวไปอีกแบบด้วย

นั่ง JR จากสถานี Shinjuku มาลง Sugamo ได้เลย (คนละ 170 เยน) ถึงสถานีแล้วก็เดินข้ามถนนมาก็จะถึงซูกาโม่เลยค่ะ หน้าตาแบบนี้

ร้านรวงก็จะน่ารัก คึกคัก และ local ประมาณนี้ เดินสนุกมาก แนะนำสำหรับใครอยากหาของฝาก ของที่ระลึกแบบ ญี่ปุ่นๆ ให้มาที่นี่ค่ะ ไมต้องปวดหัว เพราะไม่ซ้ำใครแถมน่ารักอีกด้วย

ด้วยความที่เราหิว ไม่รู้จะทานอะไร เลยสุ่มเจอร้านโซบะเก่าแก่ อร่อยมาก อ่านชื่อร้านก็ไม่ออก เพิ่งรู้ทีหลังว่าชื่อ Jizou ค่ะ

Jizou Soba

อร่อยมาก โดยเฉพาะเมนูทอดๆ ปลาทอดเอย เทมปุระเอย

อารมณ์ Retro อย่างนี้สนุกมาก น่ารักดี ประทับใจ

มาเดินเล่นกันต่อ

แล้วเราก็จะมาแวะร้านงาที่เล็งๆ ไว้ตอนเดินเตร่ไปมารอบแรก เป็นร้านที่ขายอะไรเกี่ยวกับงา ๆ หมดเลย กะจะมาซื้อของฝากคนอื่น และฝากตัวเองที่นี่นี่แหละเพราะชอบงา กับเคยทานร้านงา ๆ คล้ายๆ แบบนี้ที่ Takayama อร่อยมากก็เลยเหมารวมว่าที่นี่จะอร่อย (ก็อร่อยจริงๆ) ชื่อร้าน Goma Fukudo

Goma Fukudo

เราเลือกไอติมงาขาวค่ะ

จากนั้นก็เดินเล่นต่อไป แวะร้านนั้นร้านนี้ มีขนมหน้าตาน่าลองหลายร้าน และแวะวัด Kogan-Ji Temple (Togenuki Jizoson) และวัด Senso-Ji Temple มีองค์เจ้าแม่กวนอิมซ่อนอยู่ด้านข้างค่อนไปทางข้างหลังด้วย

ไฮไลต์อีกสิ่งคือร้านน้ำผึ้งนี้ที่เดินสุ่มเข้าไปโดยบังเอิญเพราะหลานเรียกร้องกินไอติม (งาขาวมะกี้นางไม่ชอบ แต่น้าชอบ) เป็นร้านที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำผึ้งหลายชนิด และมีไอติมด้วยยยยยยยยย อร่อยมากกกกก ชื่อร้าน Sugi Bee Garden เราสั่งไอติมน้ำผึ้งส้มยูสุ

Sugi Bee Garden
อร่อยยยยย
ร้านนี้คนแน่นเว่ออออออ แต่อิ่มเกินจะลองงง
วัดอันสงบ Senso-Ji Temple

จากนั้นเราก็นั่ง JR กลับชินจุกุประมาณ 16.30 น. ไปถึงก็เย็นพอดี หันไปทางไหนคนก็แออัดเพราะใกล้จะเคาท์ดาวน์ปีใหม่แล้ว พวกเราก็เลยกะจะไปหาร้านซูชิดี ๆ ทานละกัน แล้วก็เข้านอนเร็วหน่อย เคาท์ดาวน์ในฝันละกันเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปขึ้นเครื่องบิน

ขากลับมาถึงสถานีชินจุกุก็ยังไม่วายให้เราได้ชอป เพราะสายตาดันไปเห็นร้านขนม Butter Butler ตรงทางออก คนขายก็ร้องเรียกให้ชิม คนต่อคิวซื้อเยอะ กลิ่นก็หอมหวลชวนรับประทานมาก พอชิมเข้าไปละอื้อหือ! อร่อยมาก เป็นเหมือนวาฟเฟิลแน่นๆ ที่ชุ่มเนยกับเมเปิลไซรัป เลยซื้อกลับมาด้วย

Butter Butler


เดินเล่นละแวกชินจุกุมาเจอร้าน Tsukiji Sushiko ปลาดิบอร่อยมากกก และทำซูชิ ซาชิมิอย่างดี ไม่แพงด้วย โชคดีร้านยังโล่งเพราะยังไม่ค่ำ นั่งทานกันอย่างมีความสุข แค่นี้ก็ฟินมากแล้ว อร่อยรับปีใหม่

เรา Countdown ด้วยการนอนหลับนะคะ แต่ก็ฟินแล้ว

Happy New Year 2019 ค่ะ

Quick Summary of the Day
Sugamo
Butter Butler
TsukijiSushiko

Day 8 Tokyo – Bangkok

ตื่นตีห้า มานั่งลีมูซีนบัสไปสนามบินค่ะ โดยจองลีมูซีนบัสที่ Concierge ของโรงแรมได้เลย เรานั่งแทกซี่จากโรงแรมไปสถานี Shinjuku West Side จะมีป้ายรอลีมูซีนบัสของสนามบินนาริตะค่ะ จริงๆ มีซุ้มขายตั๋วที่ป้ายรอด้วยนะคะ แต่อย่าเสี่ยงค่ะจองกับโรงแรมดีกว่า เพราะถ้ามาจองหน้างานเสี่ยงไม่มีที่นั่งได้นะคะ

ริจากนั้นนั่งยาวชั่วโมงกว่าไปจนถึงสนามบิน เช็กอินอะไรไป เรานั่งการบินไทยเหมือนเดิมค่ะ

ระหว่างรอก็นั่งเลาจน์ไปพลาง ๆ ขากลับได้นั่ง ANA Business Lounge อาหารมีนิดเดียว พื้นที่บริเวณให้นั่งก็มีไม่ค่อยมาก แต่ก็นับว่ารอได้สบายค่ะ

พิกัด: ถ้าเราบินการบินไทย จะเป็นเกท 43 ลงลิฟต์มาชั้นสองค่ะจะเห็นเลย

พิกัด: ถ้าเราบินการบินไทย จะเป็นเกท 43 ลงลิฟต์มาชั้นสองค่ะจะเห็นเลย

พอถึงเวลาบอร์ดก็แค่ขึ้นลิฟต์ก็ถึงหน้าเกทเลยค่ะ
เป็นอันจบทริปละน้า นอนยาวๆ ไปเจ็ดชั่วโมงค่ะ ขากลับจะบินนานกว่าขามา 2 ชั่วโมงค่ะ

Summary
9 days (2 days of travel) ตัดเป็นวันเดินทาง 2 วัน เที่ยวจริง 6 วัน
Route: Tokyo – Karuizawa – Kawaguchiko – Tokyo
Airways: Thai Airways
Hotel: Hotel Gracery Shinjuku (Tokyo) / Le Grand (Karuizawa) / Cottage Ban (Kawaguchiko)
Mode of Transportation: walk, taxi, limousine bus, bus, Train, Shinkansen, Metro
Payment: Krungthai Travel card, cash

จบแล้วค่า ไว้เดี๋ยวจะทำรีวิวโรงแรมแบบละเอียดแยกต่างหากอีกทีนะคะ เพราะโรงแรมดีงามทุกที่เลยค่ะ

สำหรับท่านที่มีคำถาม ทิ้งไว้ในคอมเมนต์ได้เลยนะคะ หรือ Email: ploenthejourney@gmail.com

ติดตามทริปต่าง ๆ ของเพลินได้ที่
http://www.ploen-thejourney.com
Facebook: เที่ยวเพลิน – Wander the World (fb.com/ploenwander)
Youtube: Ploen The Journey

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.