กินเที่ยว เปรี้ยวเวียดนามใต้ โฮจิมินห์ – ญาจาง – ดาลัท – มุยเน่ 10 วัน

Southern Vietnam Trip 16-26 June 2022

Airasia

Mode of Travel: Plane, Car, Grab car, Sleeping Coach

Number of Passengers: 6 (Not include staff team)

Route: Hochimin – Nha Trang – Dalat – Muine – Hochimin

Travel : on our own, Hire the driver

เชื่อว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามเป็นประเทศที่เราคุ้นเคยกันดี ใคร ๆ ก็ไปเที่ยวเวียดนามกัน รีวิวอะไรก็ออกมากันมากมายเป็นดอกเห็ด แต่เชื่อไหมว่าเราไม่เคยไปเที่ยวเวียดนาม ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับประเทศนี้ นอกจากเมืองหลวงชื่อโฮจิมินห์ ไซง่อน และชื่อเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่คนนิยมไปกัน เช่น ซาปา ฮานอย ฮาลองเบย์ ฮอยอัน ดานัง เว้ ดาลัท มุยเน่ ฯลฯ แต่ถามว่ามีอะไร สวยแค่ไหน ดียังไง… ไม่รู้ เรียกว่านอกสายตานั่นแหละ

จนเปิดประเทศหลังโควิด ได้เที่ยวอิหร่าน มาเลเซียไปแล้ว ตั๋วบุฟเฟ่ต์กับพันธสัญญาช่องทำให้เราต้องเลือกประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอีกหน จะสิงคโปร์ก็เคยไปแล้ว กัมพูชาก็ไปแล้ว เหลือเวียดนามกับลาวนี่แหละ ก็อะ… เวียดนามละกัน ดูมีสีสัน มีอะไรให้เที่ยวดี

หลังจากทำการบ้านมาพักหนึ่ง ก็ได้เห็นว่าโอ้โห เมืองน่าเที่ยวทั้งประเทศเลย เก็บไม่หมดแน่ ๆ และคนส่วนใหญ่ก็จะเลือกเที่ยวกันเป็นภูมิภาคไป ก็เลยมาลงเอยที่เวียดนามใต้ค่ะ

และเนื่องจากไม่อยากเร่งรีบ ดูจากทริปที่คนอื่นไป จะค่อนข้างอัดแน่น เราขี้เกียจรีบ เราอยากชิล ก็เลยกะว่าจะไม่อัดโปรแกรม และจะใช้เวลานานหน่อยคือ 11 วัน 10 คืนค่ะ โดนแซวว่าไปนานยังกะไปยุโรป!

ได้ Route ออกมาดังนี้

โฮจิมินห์ - ญาจาง - ดาลัท - มุยเน่ - โฮจิมินห์

เดินทาง 16-26 June 2022 แบ่งเป็น

โฮจิมินห์ (16-17) - ญาจาง (18-19) - ดาลัท (20-21-22) - มุยเน่ (23-24) - โฮจิมินห์ (25-26)

  • การเดินทางในโฮจิมินห์กับญาจางจะเป็นแบบเที่ยวเอง ใช้วิธีเดินและเรียกรถแกรบค่ะ
  • ส่วนที่ดาลัทกับมุยเน่ จ้างคนขับรถของ  Dalat Paradise Travel เดี๋ยวจะแนบลิงค์ไว้ให้นะคะ และเดี๋ยวจะอธิบายลักษณะบริการของบริษัททัวร์นี้ค่ะ

** ทริปเวียดนามใต้ของเพลิน ก็จะเน้นกินอิ่ม กินอร่อย หลับสบาย ตื่นสาย ชิลสบาย ไม่เร่งรีบ ชอบตรงไหนก็แวะตรงนั้นนานหน่อย ไม่อินอะไรก็ไม่แวะนานหรือไม่แวะเลย ยิ่งเป็นคนขี้ร้อนด้วยค่ะ อะไรร้อนมากก็จะไม่ค่อยทน จุดยืนชัดเจน **

** ดังนั้น ถ้าตามเรื่องที่กินกะเรื่องที่เที่ยวเก๋ๆ ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ **

มาเริ่มกันเลยค่ะ

DAY 1 (16 June)

ออกจากกรุงเทพไฟลต์เช้าตรู่ 7.45 น. ลงสนามบิน Tan Son Nhat International Airport (SGN) เมืองโฮจิมินห์ ถึงราว ๆ ใกล้ ๆ สิบโมงเช้า

ซิมโทรศัพท์

แนะนำให้ซื้อที่เวียดนามนี่แหละค่ะ ผ่านตม. รับกระเป๋าเสร็จก็ซื้อซิมโทรศัพท์ที่สนามบินตรงทางออกค่ะ มีให้เลือกหลายบูธ เราเลือกบูธที่คนซื้อเยอะๆ ชัวร์ดี แพคเกจ 11 วันราคาไม่ถึง 400 บาท ราคาดีค่ะ พนักงานขายโปรมาก เปลี่ยนซิมให้อย่างรวดเร็ว เก็บซิมเดิมให้อย่างคล่องแคล่วอีกต่างหาก สะดวกมาก ไม่ต้องกลัวซิมเดิมหาย

ริ่มกันที่เมืองแรกของเราเลยค่ะ

1.Ho Chi Min City (โฮจิมินห์)

ชื่อเดิมคือ Saigon (ไซง่อน) อดีตเมืองหลวงเวียดนามใต้ ปัจจุบันเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในประเทศและเป็นศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจของเวียดนามด้วย

เราทำการบ้านมาว่าที่โฮจิมินห์มีตึกอาคาร สถาปัตยกรรมสวย ๆ มากมาย อาหารอร่อยเยอะแยะ และทั้งเมืองเต็มไปด้วยคาเฟ่น่ารัก

วันแรกก็เลยออกมาเป็นที่กิน และที่เดินเที่ยวชมเมืองตามนี้

  • Pizza 4P’s
  • Local Saigon Cafe
  • People’s Committee of Ho Chi Min
  • City Opera
  • Okkio Caffe (กาแฟไข่)
  • Saigon Notre-Dame Cathedral Basilica (ปิดซ่อมแซม)
  • Saigon Central Post Office
  • Bêp ôc อาหารทะเล
  • Apartment Cafe
  • Soul Restaurant and Bar

ที่พัก

เราเลือกที่พักในย่าน District 1 เป็นโซนในเมือง ของกิน ร้านค้าเยอะ เขาว่าอารมณ์เหมือนทองหล่อ

โรงแรม: Silverland Yen Hotel

ออกจากสนามบิน เรียกแกรบไปเช็กอินโรงแรมก่อนเลย เนื่องจากเราไปถึงกันก่อนเที่ยง ยังเช็กอินไม่ได้ ก็เลยฝากกระเป๋ากันไว้

โรงแรมเราเป็นสไตล์ Boutique Hotel ฟีลเก๋เหมือนรีสอร์ต แต่ภายในห้องพักก็ค่อนข้างธรรมดา โดยรวมบริการก็โอเค พนักงานกระตือรือร้นเอาใจใส่มาก ช่วงบ่ายแก่ๆ มีอาฟเตอร์นูนทีบริการด้วย (เขาเรียกแบบนั้น แต่จริงๆ คือการมีอาหารว่างบริการที่ลอบบี้นั่นแหละ มีมินิวาฟเฟิล ชา และมินิแซนด์วิช ปอเปี๊ยะ)

มื้อแรกในโฮจิมินห์ของเราเป็นมื้อเที่ยง

1) Pizza 4P’s

เนื่องจาก Pizza 4P’s มีหลายสาขา เสิร์ชแล้วสาขาที่ใกล้ที่สุด เดินจากโรงแรมไปแค่ 5 นาทีเท่านั้น ใกล้กับตลาดกลางเมืองที่คนชอบมาถ่ายรูปกันด้วย ก็เลยจัดไปค่ะ

เค้าแนะนำให้สั่งพิซซ่าหน้าปาร์ม่าแฮม และบูราต้าทรัฟเฟิลปาร์มาแฮมด้วย

เราก็ลองสั่งกันหลายอย่างเลยค่ะ ที่ชอบมากก็พิซซ่าหน้า 5 Cheese

ทุกอย่างอร่อยสมคำร่ำลือ

2) Local Cafe Saigon

คาเฟ่เก๋ๆ ข้างร้านพิซซ่า 4P’s เลยค่ะ ไปลองสั่งเครื่องดื่มนั่งชิลๆและถ่ายรูปเก๋ๆ พักแดดร้อนกันหน่อย เครื่องดื่มที่นี่ติดหวานมาก

ข้าง ๆ เป็นตลาดใหญ่ เห็นคนเยอะเลยแบบ โอเคไม่เข้าไปละกัน คนเวียดนามเค้าไม่ใส่แมสก์กันเลยค่ะ แอบกลัว

จากนั้นเรากลับโรงแรมไปเช็กอินและพักผ่อนอาบน้ำอาบท่ากันก่อน ก็ไปเดินเล่นถ่ายรูป ชมเมือง เริ่มจาก

3) People’s Committee of Ho Chi Min

อาคารคณะกรรมการประชาชนแห่งโฮจิมินห์ เป็น City Hall ใจกลางเมือง เป็นอาคารสีเหลืองสดใสสไตล์เฟรนช์โคโลเนียล เดินแวะมาถ่ายรูปกันชิล ๆ ด้านหลังเป็นน้ำพุด้วย แต่อากาศร้อนมาก แดดแรงมาก เราก็เลยไม่อยู่ตรงนี้นานนะคะ รีบเดินกันต่อ

4) City Opera

อีกสถานที่เช็กอินที่คนส่วนใหญ่มาถ่ายรูปกัน แต่เราทนความร้อนไม่ไหวเลยขอผ่านก่อน ขอเฝ้ามองจากที่ไกล ๆ ก็พอ แต่ก็สวยมากเลยนะคะ

Ho Chi Min City Opera House สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1897 โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ชื่อ Eugène Ferret ในฐานะ Opèra de Saigon บรรจุได้ 500 ที่นั่ง และถูกใช้เป็นที่ตั้งสภาล่างเวียดนามใต้ หลังจากปีค.ศ. 1956 จนกระทั่งปี 1975 ได้ถูกใช้เป็นโรงละครอีกครั้ง ได้รับการบูรณะอีกทีในปี 1995

โรงละครเทศบาลแห่งนี้สร้างให้เหมือนโรงละครโอเปราการ์นิเย่ในปารีส ด้านหน้าเหมือน Petit Palais

เนื่องจากเราร้อนมาก เลยเดินไม่ไหว เรียกแกรบซะเลย ไปต่อที่คาเฟ่ลับ ไม่ค่อยเห็นคนไทยรีวิวเท่าไหร่ นั่นก็คือ 

5) Okkio Caffe

ร้านนี้มีทางเข้าเล็ก ๆ ดูลึกลับ ต้องปีนบันไดเวียนขึ้นไปจนเหนื่อย เปิดประตูไปจะเจอร้านพื้นที่กว้างขวางใหญ่โต พร้อมวิวเมืองโฮจิมินห์สวย ๆ กับแอร์เย็นฉ่ำ ร้านแต่งสวยน่ารัก ดูเป็นคาเฟ่ชิลๆ มาก บรรยากาศดีมากค่ะ

เราก็ลองเครื่องดื่มและขนมสองสามอย่าง ไฮไลต์ของการมาเวียดนามแล้วต้องลองให้ได้คือ “กาแฟไข่” หรือ Egg Coffee ส่วนตัวเราไม่กินกาแฟ แถมไม่ค่อยกินไข่ด้วยค่ะ เลยชิมเอาพอให้รู้รส แต่คนที่ไปด้วยนี่คอกาแฟ นางรีเควสต์มาเลยค่ะ ส่วนตัวเราเฉย ๆ แต่คนอื่นชอบกันนะคะ บอกว่านัว ๆ ดีค่ะ

แทบไม่อยากออกจากความเย็นในร้านเลย แต่เราต้องไปต่อนะคะ

6) Saigon Notre-Dame Cathedral Basilica

วิหารโนเทรอะดาม พระแม่มารี อีกไฮไลต์ที่สวยอลังการต้องมาให้ได้ แต่… ปิดซ่อมแซมค่า ก็จะเห็นโครงเหล็กนั่งร้านหุ้มไว้อีกที อดเลย

เราก็เลยถ่ายรูปเดินเล่นรอบ ๆ

7) Saigon Central Post Office

อาคารไปรษณีย์กลางเก่าแก่สีเหลืองมัสตาร์ด อายุร้อยกว่าปี ออกแบบก่อสร้างแบบฝรั่งเศส เป็นศูนย์ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดใสเวียดนาม ที่นี่ยังเปิดให้บริการส่งไปรษณีย์ตาปกติ มีบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ มีแสตมป์ โปสการ์ดชุดสะสมขายเป็นที่ระลึกด้วย เข้าไปเดินเล่นชมบรรยากาศข้างในกันได้เพลิน ๆ ค่ะ

นอกจากที่ว่ามา ข้างในยังมีขายตุ๊กตา กระเป๋าสาน กระเป๋าผ้า โมเดลต่าง ๆ สไตล์ของที่ระลึกนักท่องเที่ยวอีกเยอะเลย แต่เราไม่ได้ซื้อค่ะ

จากนั้นถึงเวลามื้อเย็นแล้วค่ะ เราจะไปทานร้านซีฟู้ดเจ้าดัง เรตติ้งรีวิวดีมากค่ะ ขอบอกว่าชอบร้านนี้มากๆ เลยแหละ

8) Bêp ôc อาหารทะเล

ร้านอยู่ใจกลางเมือง ในย่านร้านอาหารสวย ๆ ค่ะ ทางเข้าเป็นตึกแถวแนวแคบ อาหารทะเลเอาไปปรุงแบบต่าง ๆ อร่อยมาก เช่น ผัดเนยกระเทียม ผัดพริก ต้มยำ (สไตล์เวียดนาม) ย่างเครื่องแกง เราสั่งทั้งปลาหมึก กุ้ง หอย โดยเฉพาะหอยมีนานาชนิดเลยค่ะ

แล้วเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักน้ำจิ้มอาหารทะเลของเวียดนาม เค้าจะเป็นคล้าย ๆ เกลือผสมพริกไทยกับพริกอะไรสักอย่าง รสชาติเค็ม ๆ หน่อย (คาดว่าใส่ผงชูรสเข้าไปด้วย เพิ่งเก็ตในภายหลัง) หลังจากนั้นให้บีบส้มจี๊ดไปผสมค่ะ อารมณ์ใช้แทนมะนาว รสชาติออกมาแซบจี๊ดอร่อยมาก จิ้มมันทุกคำ ฟินทุกคำ

9) Apartment Cafe

กินอิ่มก็มาเดินเล่นชีวิตกลางคืนกันค่ะ ตรงลานน้ำพุกลางเมืองที่เรามาตอนกลางวันร้อน ๆ พอค่ำแล้วคึกคักมาก คนเดินขวักไขว่มีชีวิตชีวา เราตั้งใจมาเก็บภาพคาเฟ่อพาร์ตเมนต์ยามค่ำคืนกันค่ะ ลักษณะก็เป็นตึกขนาดใหญ่ที่มีคาเฟ่เช่าเรียงรายแต่ละห้อง ดูแล้วเหมือนภาพ Collage ตัดแปะสวยๆ เลย แต่เนื่องจากเราไม่เหลือท้องเผื่อกินอะไรที่คาเฟ่อีกแล้ว ก็เลยไม่ได้ขึ้นไป แต่เก็บภาพบรรยากาศแทน

จากนั้นเราก็กลับโรงแรม พักผ่อนให้หายเมื่อยนิด เพื่อนร่วมทางดันอยากนั่งชิล กินกาแฟไข่ (คือจะมากินกาแฟอะไรกันตอนสามทุ่มคะ) เราก็เลยออกมาเดินเล่น และลงเอยที่ร้านนึงที่เห็นบรรยากาศดี คนเยอะ ขึ้นไปชั้นสองจะเห็น City view

10) Soul Restaurant and Bar

นอกจากสั่งกาแฟไข่แล้ว ทางร้านแนะนำเบียร์ซิกเนเจอร์ของเค้า ก็เลยสั่งมาลอง ฟังดนตรีละแวกรอบด้านไปด้วย และชมพระจันทร์เต็มดวงไปด้วย (คืนนั้นมีพระจันทร์เต็มดวงค่า) ได้ฟีลดีมากๆ เลย

จากนั้นค่อยกลับโรงแรมนอนค่ะ

DAY 2 (17 June)

วันนี้เราก็ยังอยู่โฮจิมินห์กันค่ะ ก็จะเดินเล่นเก็บในเมืองกันไป ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ และจุดเที่ยว มาดูพิกัดกัน

  • Propaganda Cafe & Restaurant
  • Tan Dinh Church (Pink Church)
  • Công Caphe – Nha Thơ Tan Dinh
  • The Vagabond – Tran Cao Van
  • Takashimaya at Saigon Centre
  • Katinat Cafe
  • Bep Nha Luc Tinh (ร้านอาหารเย็นแบบเวียดนามเหนือ ไปกินกับไอวี่)

เริ่มจากมื้อแรกของพวกเราประมาณสิบโมงกว่า ไปร้านเวียดนามฟิวชั่นเก๋ๆ ใจกลางเมืองกัน

11) Propaganda

ร้านเวียดนามแนวฟิวชั่น ร้านมีความเป็นคาเฟ่ฝรั่งสูงมาก อาหารออกมาอร่อยดีหลายอย่าง รสชาติติดหวานเล็กน้อย บั๋นหมี่ (ขนมปังบาแก็ตสอดไส้คล้ายแซนด์วิช) อร่อยดี ขนมปังไม่แข็งเลย

บั๋นหมี่ เป็นภาษาเวียดนามแปลว่า “ขนมปัง” แต่ปัจจุบันหมายถึง “แซนด์วิชเวียดนาม” ใช้ขนมปังบาแกตต์ฝรั่งเศส ทาตับบด ใส่แฮม ผัก และไส้ชนิดต่าง ๆ ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม ถือว่าเป็นสตรีตฟู้ดที่มีขายทั่วไปในเวียดนาม

ข้อสังเกตของเพลินหลังจากกินบั๋นหมีไปหลายที่ แม้จะเป็นข้างทางก็อร่อยค่ะ เลยได้ข้อสรุปว่าขนมปังบาแกตต์เขาดี เพราะปกติเวลากินขนมปังบาแกตต์ที่ยุโรปจะแข็งบาดปากมาก เหนียวเคี้ยวยาก แต่บาแกตต์ที่เวียดนามคือกรอบนอกเนื้อนุ่มใน ทำให้การกินบั๋นหมี่เพลิดเพลินมากเลย

เมนูอื่นๆ ก็ได้แก่ ข้าวหมูย่างน้ำผึ้ง ปอเปี๊ยะสด ก๋วยจั๊บญวน เฝอ

ต่อมาเราเริ่มไปเดินเล่นเก็บภาพกันที่โบสถ์สีชมพูค่ะ

12) Tan Dinh Church (Pink Church)

โบสถ์สีชมพูหวานน่ารักมาก เหมือนปราสาทตุ๊กตาเลยค่ะ แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างในหรอกนะคะ ถ่ายรูปด้านนอกแทน มุมที่จะเก็บภาพได้สวยคือที่ข้ามมาอีกฝั่งถนน จะเก็บได้ทั้งโบสถ์เลย กับอีกวิธีคือเข้าไปถ่ายจากในคาเฟ่ซึ่งอยู่ตรงข้ามโบสถ์นั่นแหละค่ะ และเป็นจุดแวะพักของเราอีกที่ กำลังดีเลยเพราะแดดร้อนมาก ร่างกายต้องการเครื่องดื่มเย็นๆ

13) Công Caphe – Nha Thơ Tan Dinh

ร้านกาแฟสไตล์บูทีค เรามากัน 6 คน ก็สั่งกาแฟ ชา คนละอย่าง เราสั่งชาดำส้มจี๊ด อร่อยดีแต่ติดหวานอีกแล้วค่ะ coconut coffee ก็อร่อยดีค่ะ

ถ้าจะถ่ายรูปให้ติดโบสถ์ชมพู ต้องขึ้นไปชั้นสามค่ะ

จากนั้นเราจะมาเก็บคาเฟ่กันนะคะ เราจะไปคาเฟ่ลับที่ไม่ค่อยมีใครรีวิวกันค่ะ แต่เรตติ้งดีเชียวน้า

14) The Vagabond – Tran Cao Van

ทางเข้าร้านแคบๆ แต่เดินเข้าไปจะถูกโอบล้อมด้วยอุโมงค์ต้นไม้ เข้าไปเป็นอาคารสวยงามคลาสสิกใหญ่โต ตัวร้านต้องขึ้นบันไดไปสองชั้น มีความละมุน ที่สำคัญเค้กอร่อยมากทุกเมนูเลย เป็นเค้กที่โอเคสุดในทริปเลยค่ะ ร้านนี้สายขนมหวานต้องจัดนะคะ

มี Avocado Cheesecake, Yuzu, Passionfruit, Dragonfruit คือไม่หวานมาก อร่อยทุกคำทุกจานจริงๆ

มุมถ่ายรูปสวยๆ ก็เพียบ แต่เราร้อนเหนื่อยจากข้างนอกเลยไม่มีอารมณ์ถ่ายค่ะ ขอตากแอร์เย็นๆ

แล้วเราก็ไปหลบร้อนเดินเล่นกันในห้างค่ะ

15) Takashimaya at Saigon Centre

ไม่ได้จะชอปอะไรพิเศษ เรียกว่าไปตากแอร์ดีกว่าค่ะ แต่ก็ได้เสื้อผ้ามาชุดนึง

แล้วฝนก็ตกระหว่างที่เราจะกลับโรงแรมไปเก็บของค่ะ เลยหาร้านแวะหลบฝนนิดนึง มาเจอร้านที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน คนเยอะมาก แม้กระทั่งสี่ทุ่มก็ยังเป็นร้านกาแฟที่คนแน่นยังกะร้านเหล้า ตอนนี้ประมาณสี่ห้าโมงเย็น คนก็ยังเพียบ อยากรู้ว่ามีอะไรดี เลยแวะไปหลบฝน สั่งเครื่องดื่ม สั่งขนมค่ะ

16) Katinat Cafe

เพื่อนร่วมทางสั่งกาแฟมาลอง เรากินไม่ไหวจริงๆ ได้แต่ชิม และมีเค้กกล้วยหอมค่ะ เขาว่าอร่อยกัน เราก็เฉยๆ นะคะ

จากนั้นเรากลับมาพักผ่อนที่โรงแรมก่อนออกไปทานมื้อเย็นค่ะ

มื้อเย็นนี้เราจะไปทานร้านอาหารเวียดนามที่เจ้าถิ่นแนะนำค่ะ พอดีเพื่อนร่วมทริปเรามีเพื่อนอยู่เวียดนาม เป็นชาวจีนที่ทำงานในเวียดนามค่ะ เขาแนะนำร้านนี้ และจะมาทานด้วย

17) Bep Nha Luc Tinh

ร้านเวียดนาม สไตล์เวียดนามเหนือค่ะ อร่อยทุกจานจริงๆ โดยเฉพาะแพนเค้กกุ้งฝอย และขนมเบื้องญวนค่ะ

ด้วยความที่มีชาวต่างชาติมาร่วมมื้ออาหารด้วย เค้าไม่สะดวกให้เราถ่ายทำรีวิวอาหารอะไรมากมาย ก็เลยไม่ค่อยมีรูปอาหารมาฝากค่ะ แต่เป็นอีกร้านที่แนะนำนะคะ อาหารอร่อยจริงๆ คนเยอะ เต็มเกือบทุกโต๊ะเลยค่ะ

ก็เป็นอันจบวันค่ะ

พรุ่งนี้เราจะเปลี่ยนเมืองกันแล้วน้า

DAY 3 (18 June)

วันนี้เราจะเดินทางไปญาจางกันช่วงบ่ายโดยเครื่องบินค่ะ

โปรแกรมของเราก็จะประมาณนี้

Ho Chi Min

  • Bánh mì Chao Dang Trân Côn
  • Flat White Coffee
  • Silverland Yen Hotel (กลับมาเก็บของ)
  • Tan Son That International Airport (SGN)

Nha Trang

  • Cam Ranh International Airport (CXR)
  • Liberty Central Nha Trang
  • Nha Trang Beach
  • Hai San Thanh Suong (Seafood – คนขับแกรบแนะนำ)
  • Starbucks VinPearl Condotel Beachfont
  • Phuc Long since 1968

เราบินกันช่วงเที่ยง ยังพอมีเวลากันตอนเช้าค่ะก็เลยไปหา “ไข่กระทะ” ทานกัน ก็ตื่นเช้าหน่อย ร้านไข่กระทะที่ว่าก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเรามาก เดินไปหน่อยก็ถึง เราไปถึงกันสักเก้าโมงนิดๆ ค่ะ

8) Bánh mì Chao Dang Trân Côn

ร้านไข่กระทะ บั๋นหมี่ชื่อดัง คนมาต่อคิวกันยาวเหยียด เป็นร้านง่ายๆ ริมทางเลยค่ะ โต๊ะก็ตั้งกันบนทางเท้าเลย ฮิตมาก แต่ไม่ต้องรอนานเพราะอาหารออกไว โต๊ะก็หมุนเวียนไวค่ะ

อร่อยมาก ขนมปังก็ดีงาม (อีกแล้ว) ราคาก็เป็นมิตรมากค่ะ

19) Flat White Coffee

อีกคาเฟ่ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง แต่เรตติ้งรีวิวว่ากาแฟดี ก็เลยแวะทานก่อนกลับไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรมค่ะ ร้านก็ตกแต่งเรียบง่าย กาแฟเราแค่ชิมก็… ติดหวาน แต่คนกินกาแฟเขาว่าใช้ได้นะคะ

กลับมาเก็บของ เช็กเอาต์โรงแรม เรียกแกรบไปสนามบินค่ะ

20) Tan Son That International Airport (SGN)

บินไปญาจางด้วยสายการบินเวียตเจต บวกค่าน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มไม่แพงมากค่ะ เกือบห้ากิโลก็สี่ร้อยกว่าบาท ถ้าเป็นแอร์เอเชียนี่มันชาร์จจนเราล้มละลายได้ค่ะ

ไฟลต์ 12.30 แต่ไปๆมาๆ ดีเลย์ไปเกือบสองชั่วโมง กว่าจะออกก็บ่ายสองสี่สิบนู่น เราเลยไปถึงญาจางประมาณบ่ายสามค่ะ กินข้าวบนเครื่องไปด้วยความหิว

2. Nha Trang (ญาจาง)

ที่พัก: โรงแรม Liberty Central Nha Trang

21) Cam Ranh International Airport (CXR)

สนามบินญาจางค่อนข้างครึกครื้น ให้อารมณ์เหมือนสนามบินภูเก็ตเลยค่ะ ตามฟอร์มเดิมเราก็เรียกแกรบไปโรงแรมค่ะ ระยะทางค่อนข้างไกลเหมือนอยู่คนละมุมเมืองเลยแหละ นั่งรถประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้

22) Liberty Central Nha Trang

โรงแรมเราอยู่กลางเมือง ทำเลดี ติดชายหาด (เดินสามนาที) ลอบบี้ไม่สวยมาก แต่ห้องพักคือดีเลยค่ะ ใช้ได้เลย มีความอินเตอร์ดี สะอาดสะอ้าน สะดวกสบาย

23) Nha Trang Beach

ชายหาดอยู่ใกล้โรงแรมมาก เดินไปนิดเดียวก็ถึง เลยไปเดินเล่นกันค่ะ หาดคนเยอะเว่อร์ แน่นเหมือนกับฟีลหาดจอมเทียน บรรยากาศรอบ ๆ ก็เหมือนชายหาดบ้านเราสมัยก่อน เราเดินเก็บบรรยากาศกันนิดหน่อย

พักผ่อนหลบร้อนประมาณนึง ก็ได้เวลามื้อเย็นที่รอคอย มาญาจางเมืองชายทะเลก็ต้องกินอาหารทะเลนี่นะ เราแพลนจะไปกินซีฟู้ดเจ้านึง ทำการบ้านมาละ แต่ บังเอิญลุงคนขับรถแกรบที่เรานั่งจากสนามบิน แนะนำอีกร้านนึงบอกว่าเด็ดมาก ต้องไป เขียนชื่อมาให้เสร็จสรรพเชียว

ข้อสังเกตอีกอย่างของแกรบในเวียดนามคือ หมุดไม่ค่อยตรงหรือไม่ค่อยมี จะปักหมุดโลเคชั่นแต่ละสถานที่ก็ยากเย็น เช่นเดียวกับร้านที่กำลังจะไปนี่แหละ

24) Hai San Thanh Suong

ร้านอาหารทะเลที่คนขับแกรบแนะนำค่ะ เอาไปเช็กรีวิว เรตติ้งดีมาก เป็นร้านที่คนท้องถิ่นกินกันค่ะ ทีนี้ตอนปักหมุดในแกรบนี่จะหายากมาก ต้องไล่เช็กชื่อถนนแล้วปักโลเคชั่นด้วยชื่อถนนค่ะ ชีวิต! ปรากฏว่าคนขับแกรบเห็นชื่อร้านบนกระดาษในมือเรา เขาก็ร้องอ๋อ… นึกออกทันทีว่าร้านไหน ก็เลยรอดตัวไป

ร้านนี้คงเป็นร้านฮิตของชาวท้องถิ่นที่แท้ทรู และไม่ได้มีนักท่องเที่ยวมาก เพราะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษสักตัว! ย้ำว่าสักตัวค่ะ คือต้องอาศัยภาษาใบ้ชี้โบ๊ชี้เบ๊กันไปว่าจะเอาอะไรไปทำอะไร แต่ที่นี่เค้าจะฟิกซ์อยู่แล้วว่า หอยชนิดนี้เอาไปทำอะไรได้บ้าง ถ้าเราเกิดจะไปบอกว่าชั้นจะเอาหอยนี่ไปอบกระเทียม แต่เขาไม่มีในสารบบว่าหอยนี่อบกระเทียมได้ เค้าก็ไม่ทำให้จ้ะ ดังนั้น เอาซีฟู้ดอะไรก็เลือกวิธีปรุงตามที่ร้านเค้าบอกละกัน ง่ายดี อร่อยด้วยค่ะ

มันดีทุกจานจริงๆ กุ้งมังกรเอย หอยนานาชนิด ปลาหมึก

จิ้มน้ำจิ้มหลายแบบค่ะ ตัวสำคัญก็คือน้ำจิ้มเกลือบีบส้มจี๊ดนั่นแหละ (คาดว่าคงผสมผงชูรสไปด้วย) 

ร้านนี้คือแนะนำมากกกกก

ต้องมาให้ได้นะคะ

จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นย่อยอาหารค่ะ อย่างที่บอก เวียดนามขับรถกันป่าเถื่อนมากค่ะ ต้องระวังอาจตายได้ คนสามารถสวนเลน เสยฟุตบาตกันเป็นเรื่องปกติ เลยต้องไปหาห้างหรือคอมมูนิตี้มอลล์เดินดีกว่าจะได้สะดวก

25) Starbucks VinPearl Condotel Beachfont และ Phuc Long since 1968

นั่งแกรบกลับไปใกล้โรงแรม ไปเจอห้างลอตเต้ แต่ยังไม่ทันถึงห้าง เราก็เจอสตาร์บักส์เข้าซะก่อน ไม่ได้อะไรนะ อยากดูว่ามีเครื่องดื่มอะไรบ้าง เลยเข้าไปได้แก้วสตาร์บักส์ที่เป็นลายเฉพาะของเวียดนามเฉยเลย สวยด้วยค่ะ

เราสั่งชอคโกแลตร้อน ใส่นมถั่วเหลืองแทนนมวัวค่ะ อิ่มฟินดี

แล้วเดินเข้าห้างข้างๆ ไปเจอร้านกาแฟท้องถิ่น เลยขอไปด้อมๆ มองๆ หน่อยค่ะ ชื่อ Phuc Long since 1968

เข้าไปคือหอมกาแฟมากค่ะ เพื่อนร่วมทางก็สั่งกาแฟอีกค่า เราไม่ไหวแล้ว เลยเดินดูกาแฟกับชาสำหรับซื้อไปเป็นของฝากค่ะ กาแฟคือดี น่าสนใจมาก ราคาก็ดีค่ะ จัดไปสองถุง

เป็นอันจบวันแรกในญาจางค่ะ

DAY 4 (19 June)

วันนี้เรายังอยู่ในญาจาง จะชิลๆ กันค่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ทำมากนอกจากเดินเล่นชายหาด แต่ด้วยแดดแรงเปรี้ยงแบบนี้… เราก็ไม่ค่อยไปไหนมากนอกจากหาที่กินค่า

โปรแกรมวันนี้

  • Runam Bistro (ร้านอาหาร)
  • Beach
  • Sol Spa (Liberty Central Nha Trang)
  • Làng Chài Hai San (Hai San Lang Chai Bo Ke) อาหารทะเล
  • Runam Bistro
  • Yen sào0 khánh Hòa (ตลาดกลางคืน)

เริ่มจากตื่นสายหน่อยตามสไตล์ มากันหกคน อีกสองท่านตื่นเช้าก็ทานบุฟเฟต์​ในโรงแรม บอกว่าเฝอเค้าใช้ได้เหมือนกันนะคะ แต่สาวตื่นสายอย่างเราๆ ก็ขอบรันช์ ลันช์เลยละกัน

เริ่มที่

26) Runam Bistro

ร้านนี้เห็นในห้างที่โฮจิมินห์แล้วแอบเล็งไว้ว่าน่าทานมาก คืออาหารเพียบ เครื่องดื่มเพียบ แถมร้านสวยอีกต่างหาก เราก็เลยเริ่มมื้อแรกที่นี่

ร้านสวย บรรยากาศดี อาหารก็อร่อยมากๆ ค่ะ เป็นอาหารเวียดนาม รสชาติก็อาจจะฟิวชั่นหน่อย แต่อร่อยดีค่า เราก็สั่งพวกเฝอ ก๋วยจั๊บญวน หมูพันตะไคร้ บะหมี่เป็ด

แต่จานที่ชอบพิเศษคือ 

“Egg Octopus” เป็นคล้ายๆ แพนเค้กผสมหอยทอด (แต่เป็นปลาหมึก) ส่วนแป้งฐานจะใช้แป้งผสมเต้าหู้แผ่นปรุงรสทอด ทอปด้วยปลาหมึกเด้งดึ๋ง กินกะซอส อร่อยมากค่ะ

แล้วร้านนี้ยังมีชุดของที่ระลึกขาย โดยเฉพาะกาแฟ ปีนี้ปีเสือ จะมีรูปเสือออกมาเป็นหลัก มีชุดกาแฟดริปขายเป็นเซ็ทคู่กาแฟ ราคาดีด้วยค่ะ

ชอบร้านนี้มากๆ บรรยากาศดี แต่งสวย อาหารอร่อย ประทับใจค่ะ (อารมณ์แต่งร้านคล้ายๆ ร้าน Propaganda แต่สวยกว่าหน่อยค่ะ)

จากนั้นไปเดินเล่นชายหาดอีกนิด เช้าๆ คนน้อย ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แต่แดดแรงไม่นานก็ต้องเผ่นค่ะ

ตอนนี้แยกย้ายกันตามอัธยาศัย เราก็เลยจะขอพักผ่อนทำสปาที่โรงแรมหน่อย เห็นโฆษณาน่าสนใจดี

27) Sol Spa (Liberty Central Nha Trang)

เขาแนะนำโปรพิเศษ เป็นแพคเกจนวดสปาแบบรวมมิตร มีตั้งแต่อบซาวน่า นวดเท้า นวดน้ำมัน ประคบสมุนไพร นวดหินร้อน ยืดตัว นวดคอ นวดศีรษะ ใช้เวลารวมทั้งหมด 120 นาที ถือว่าโอเคใช้ได้้เลยนะคะ อาจจะไม่ได้แก้อาการได้เท่าไหร่ แต่ในระดับนวดผ่อนคลายถือว่าดีค่ะ

จากนั้นก็ถึงเวลามื้อเย็นค่ะ เรายังติดใจซีฟู้ดญาจาง เลยว่าจะลองร้านอื่นดูค่ะ เสิร์ชหาดูเจอร้านนึงค่ะ อยู่อีกโซนของญาจาง และตามเคยค่ะ ปักหมุดในแกรบได้ยากมาก คนขับที่เหมือนจะรู้ร้าน แต่ก็หาไม่เจอ เราเลยจิ้มร้านนึงที่คนเยอะดี และน่าจะรีวิวดีค่ะ

28) Làng Chài Hai San (Hai San Lang Chai Bo Ke) อาหารทะเล

คล้ายๆ ร้านเมื่อวานค่ะ แต่แพงกว่าพอสมควร ความอร่อยก็ใกล้เคียง แต่แอบให้คะแนนร้านเมื่อวานมากกว่า

อ้อ… มี tips เตือนนิดนึงค่ะ คนเวียดนามจะขึ้นชื่อเรื่อง Tricky ดังนั้นเวลาจะซื้อของ จ่ายเงิน ใช้บริการอะไรต้องเช็กให้แน่ใจนะคะ

อย่างเช่นที่ร้านอาหารนี้ เราสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว สักแป๊บเด็กเสิร์ฟก็ยกขนมคล้ายกับแกล้ม พวกถั่ว ผลไม้ ข้าวเกรียบมาเสิร์ฟ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่คนมาด้วยเอะใจ ถามไปก่อนว่าฟรีหรือเปล่า เด็กเสิร์ฟทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ เลยเรียกหัวหน้ามาถาม ถามภาษาง่ายๆนี่แหละว่า “Free?” พร้อมวาดมือประกอบ เขาก็เลยยิ้มแหะๆ ตอบว่า “No…” เราก็เลยให้เค้ายกออกค่ะ ไม่งั้นโดนชาร์จเพิ่มนะ ถึงจะไม่แพงมาก แต่ก็ไม่ควรให้เค้าหากินแบบนี้ค่ะ

จากนั้นพวกเราก็เรียกแกรบกลับเข้าเมือง กะจะเดินเล่นรับลมชิลๆ แล้วก็บังเอิญผ่านร้านที่ไปทานตอนเช้าก็คือ  Runam Bistro นั่นเอง เราติดใจร้านนี้กันก็เลยแวะค่ะ

29) Runam Bistro

คราวนี้ไม่สั่งอาหารเพราะเราอิ่มกันมาก เลยสั่งแต่ชาค่ะ เป็นชาอาร์ติโช้ก (Artichoke Tea) เค้ามีมะพร้าว ขิง ลูกบัวอบแห้งโรยน้ำตาลไอซิ่งมาให้กินแกล้มชา รสชาติพอดีเลยค่ะ

แล้วเราก็ไปเดินย่อยกันต่อ ระหว่างทางผ่านเวทีเต้นสตรีตแดนซ์ริมหาดด้วย ดูเด็กๆ แข่งเต้นก็สนุกดี

ปิดท้ายด้วยการเดินตลาดกลางคืน

30) Yen sào0 khánh Hòa (ตลาดกลางคืน)

ตลาดกลางคืน คนเยอะมาก คึกคักมาก ของขายก็ทั่วไป ไม่ได้พิเศษอะไร ที่น่าสนใจคือแผงอาหาร น่ากินหลายอย่าง แอบเห็นพิซซ่าเวียดนาม อยากกินมาก แต่อิ่มแล้ว ไม่ควรกินต่อ เพื่อนร่วมทางอีกคนสั่งไอติมผัดมา เค้าใส่สตรอว์เบอร์รี่สดไปด้วย เลยออกมาอร่อยมากค่ะ

จบกับญาจางแล้วนะคะคืนนี้ หลับให้เต็มอิ่ม

DAY 5 (20 June)

วันนี้เราจะออกจากญาจางไปดาลัทกันตอนบ่ายค่ะ รูทดาลัท-มุยเน่ เราจ้างไพรเวททัวร์ค่ะ จริงๆ ก็เป็นการจ้างคนขับรถขับไปนั่นนี่เพื่อความสะดวก และเค้าจะแนะนำที่เที่ยวให้ได้ค่ะ

เรายังพอมีเวลากันตอนเช้าหน่อยค่ะ

  • ทานอาหารเช้าที่โรงแรม เฝอใช้ได้ค่ะ
  • เดินไปสตาร์บักส์ (สาขาที่วันแรกมาถึง เดินจากโรงแรมไปประมาณ 10 นาที) จัด Chai Tea Latte สักหน่อย
  • กลับมาเก็บของ เตรียมเช็กเอาต์
  • รอคนขับรถของบริษัททัวร์มารับค่ะ เขาขับรถจากดาลัทมารับเราที่ญาจาง แล้วพากลับไปดาลัทค่ะ
  • คนขับมารับ 13.00 น.

คนขับชื่อวินดี้ เป็นหนุ่มผิวคล้ำร่างสูงใหญ่ แบกกระเป๋ายี่สิบโลขึ้นรถแบบชิลๆ

จากญาจางไปดาลัทใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าค่ะ นั่งกันไปยาว ๆ

3. Dalat (ดาลัท)

ที่พัก: Tasme Hotel

ถึงดาลัทแล้วโปรแกรมเราก็จะสั้น ๆ ประมาณนี้ค่ะ

  • Dalat BBQ
  • Tasme Hotel
  • Chilling Home Café

ระหว่างทางมาถึงดาลัท ขึ้นเขาลงเขามากมาย แวะถ่ายรูปที่น้ำตกกลางหุบเขาด้วย อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ คนละฟีลกับแดดทะเลญาจางมากค่ะ เป็นอากาศสดชื่น

พอเข้าเขตดาลัทซึ่งเป็นเมืองในหุบเขา ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ เลยมีทั้งหมอก ทั้งฝน อากาศเย็นลงเหลือ 18 องศาเลย ฟินมาก บ้านเมืองเค้าก็สวย ด้วยความที่อดีตเคยเป็นเมืองตากอากาศของฝรั่งมาก่อน บ้านเรือนอาคารก็เลยเป็นแบบฝรั่ง ยิ่งพอมีทิวทัศน์ป่าเขา ไอหมอกเย็นปกคลุม มีทะเลสาบ เลยยิ่งได้บรรยากาศเหมือนอยู่ยุโรปเลยค่ะ

เรามาถึงดาลัทกันตอนห้าโมงนิดๆ เนื่องจากเท่ียงไม่ได้แวะกินที่ไหน ก็เลยหิวมาก แพลนก็เลยจะแวะกินก่อนเข้าโรงแรมค่ะ เลยขอวินดี้พาไปร้านบาร์บีคิวปิ้งย่างสไตล์ดาลัท ทางบริษัททัวร์ก็แนะนำให้มาร้านนี้ค่ะ

30) Dalat BBQ Buffet

ร้านนี้เห็นว่าเปิดใหม่ ราคาดีมาก ประมาณคนละสองแสนดอง คิดเป็นเงินไทยก็หัวละสามร้อยบาท ไลน์บุฟเฟ่ต์คืออลังการงานสร้าง เยอะมาก ของก็ดี ตอนเรามาถึงเป็นโต๊ะแรก ยังแอบคิดอยู่ว่า มันจะอร่อยไหมว้า แต่สักแป๊บ คนเต็มร้านเลย วัยรุ่นทั้งนั้นค่ะ แล้วเปิดเพลงตื๊ดมากอย่างกับอยู่ในผับแน่ะ

ที่ชอบของร้านนี้จะเป็นปอเปี๊ยะสด ห่อได้แน่น แป้งหนึบดีมาก คือไม่น่าเชื่อว่าปอเปี๊ยะสดจะอร่อย กิมจิก็ดี อาหารทะเล หมูหมักเค้าก็ดีค่ะ คืออร่อยทุกอย่างเลย อร่อยยันไอติม แนะนำเลยค่ะ

จากนั้นเราก็ไปเช็กอินโรงแรมกัน

31) Tasme Hotel

เรียกว่าเป็นเกสต์เฮาส์น่าจะถูกกว่า ที่นี่บริษัททัวร์แนะนำและจองให้ค่ะเพราะทำเลดี ราคาไม่แพง และบริการโอเค ถึงจะดูเก่าและไม่สะอาด แต่ก็ถือว่าสะอาดกว่าที่เห็น และเจ้าของก็กระตือรือร้นในการบริการดีค่ะ นับว่าโอเค

จุดเด่นอีกอย่างคือห้องพักจะเห็นวิวเมืองดาลัทในหุบเขาชัดมากเลยค่ะ เรียกว่าห้องพักหลักร้อย วิวหลักล้านค่ะ

พวกเราอยากเดินเล่นสักหน่อย แต่ว่าฝนตก ไปไหนไม่ได้ไกล แถมเลยเวลาคนขับรถแล้ว เราก็เลยเดินเล่นกันเองละแวกโรงแรม

ลักษณะก็เหมือนเราเที่ยวดอยปุย ม่อนแจ่ม คือเป็นเมืองบนเขา มีน้ำเฉอะแฉะและโคลนดินแดงตามพื้นนิดหน่อย แต่อากาศเย็นอะไรทำนองนั้น นึกออกไหม ฮ่าๆๆ

32) Chilling Home Café

มาเจอโฮมสเตย์นึงที่ทำเป็นคาเฟ่ด้วย บรรยากาศชิลมองวิวเขา ฟีลเหมือนเกาหลียังไงไม่รู้ เข้าไปนั่งจิบชาร้อนๆ ฟินมากค่ะ

DAY 6 (21 June)

สองวันนี้จะเที่ยวดาลัทเต็มวันเลยค่ะ วินดี้จะขับรถพาเราไปจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยโปรแกรมว่าจะไปไหนบ้างนั้น เราพูดคุยกับทางบริษัทไว้แล้ว และก็จะอัปเดตสอบถามกันทางแชตตลอด และรีเช็กกันตอนกลางคืนก่อนนอน เพื่อที่ตอนเช้าจะได้ไปตามแพลนได้ไม่ผิดพลาดค่ะ โดยคนขับรถ (วินดี้) ก็จะรับบรีฟจากหัวหน้าบริษัททัวร์อีกทีค่ะ

พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตกช่วงบ่าย ช่วงเช้าเราก็ทำเวลากันก่อน

แต่ช่วงเช้านี่แดดแรงมากค่ะ เจ็ดโมงฟ้าสว่างแดดแจ๋ยังกะเที่ยง ทะลุผ้าม่านเข้ามาเลย

ทานอาหารเช้าที่โรงแรม

คนขับรถมารับ 8.30 น. ก็จะเริ่มเช้ากันหน่อย

โปรแกรมวันนี้ก็จะแน่นนิดนึง

  • Clay Sculpture Tunnel
  • Pine Forest
  • New Alpine Coaster
  • Nhat Ly Restaurant (Lunch ร้านข้างๆ มี คองคาเฟ่)
  • Công Caphe
  • Là Viet Coffee
  • Domaine de Marie (โบสถ์ชมพู)
  • Amazing Coffee (คาเฟ่เห็นวิวเขา)
  • Night Market
  • Seoul Dalat

34) Clay Sculpture Tunnel

อุโมงค์ประติมากรรมดินเผา หรืออุโมงค์ดินดาลัท อยู่ห่างตัวเมืองดาลัทไปทางใต้ราว 15 กิโลเมตร เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อปี 2016 นี่เอง เจ้าของโครงการได้รับแรงบันดาลใจจากเนเธอร์แลนด์ที่ใช้ของที่มีแพร่หลายในประเทศอย่างดอกทิวลิปมาดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้การท่องเที่ยวเติบโตมาก เขาจึงใช้สิ่งที่ดาลัทมีอุดมสมบูรณ์ที่สุดอย่างดินหินบะซอลต์และดินแดงมาสร้างจุดขาย เกิดที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร

เขาใช้ดินหินบะซอลต์และดินแดง ผสมส่วนผสมพิเศษทำให้ได้ดินเหนียวที่แข็งตัวโดยไม่ต้องอบ สร้างบ้านดินสองหลังขึ้น เมื่อได้ผลสำเร็จดี จีงสร้างอุโมงค์ดินเหนียวความยาว 2 กิโลเมตรขึ้นมา หลังจากนั้นก็สร้างประติมากรรมอื่นๆ อีกจนกลายเป็นที่ท่องเที่ยวที่คนมาดาลัทต้องแวะมาให้ได้

ไฮไลต์ที่คนไม่ยอมพลาดกันก็คือ รูปปั้นดินรูปหน้าขนาดใหญ่หันหน้าชนกัน คนจะมาถ่ายกันตรงนี้ เพราะจะเห็นวิวทะเลสาบTuyền Lâm Lake ด้วยค่ะ

คนต่อคิวถ่ายกันเยอะมาก มากจนเกือบถอดใจ และแดดก็แรงมาก ใครไม่ไหวไปก่อนเลย

แต่ที่เราชอบอีกที่คือรูปปั้นแองเจิล เห็นวิวน้ำเหมือนกัน สวยด้วย คนไม่รุมด้วยค่ะ

35) Pine Forest

ต่อกันที่ป่าสน ซึ่งจริงๆ ก็เหมือนป่าสนเชียงใหม่แทบไม่ต่างกัน แต่เขาก็หากิมมิคให้ด้วยการให้ประทัดควันสีๆ มาเปิดถ่ายรูป (คิดได้ไง นับถือมาก) ก็เลยถ่ายรูปกับควันสีส้มซะหน่อยค่ะแล้วรีบกลับ ร้อนค่ะ

36) New Alpine Coaster

ความร้อนยังไม่จบค่ะ ชีวิตต้องสู้แดดต่อไป เราจะไปเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ชมภูเขากับน้ำตกกันค่ะ จริงๆ ก็น่าชื่นชมเวียดนามนะคะที่พยายามจะสร้างกิมมิคดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้มีอะไรมากกว่าการชมทิวทัศน์ตามธรรมชาติ แทนที่จะเดินป่า ขึ้นเขา ไปดูน้ำตกสวยๆ ก็สร้างรถไฟเหาะขึ้นมาเลยสิคะ ได้ชมวิวกันแบบตื่นเต้นตลอดทาง

เราก็จัดไปค่ะ สนุกมากเลย หวาดเสียวดี ระยะทางก็ยาวด้วยนะไม่ใช่เล่นๆ ประมาณ 5 กิโลเมตรค่ะหน้าก็ท้าแดดไปเต็มๆ พอถึงจุดลงก็เดินไปชมน้ำตกต่อ ชื่อน้ำตก “ดาลันดา” แดดก็แผดเผาไปเรื่อยๆ คิวคนถ่ายน้ำตกก็แน่นเอี๊ยด คิวต่อรถโรลเลอร์โคสเตอร์ขากลับก็ยาวไม่แพ้ขาขึ้น กว่าเราจะนั่งกลับมาได้ก็สะบักสะบอม หิวข้าวขั้นสุด

อ้อ ตอนขึ้นโรลเลอร์โคสเตอร์เค้าห้ามใช้มือถือนะคะ กันตกหล่นระหว่างทางค่ะ

37) Nhat Ly Restaurant (อาหารเที่ยง)

มื้อเที่ยงเป็นร้านที่ทางทัวร์จองไว้ให้ค่ะ (แต่เราจ่ายค่าอาหารเองนะคะ) อาหารก็กลางๆ ธรรมดา เหมือนอาหารบ้านเรา ไม่ได้เป็นอาหารเวียดนามซะทีเดียว

38) Công Caphe

จำร้านนี้ได้ไหมคะ เป็นร้านที่เราแวะถ่ายรูปโบสถ์ชมพูที่โฮจิมินห์ นางมีหลายสาขาค่ะ ดาลัทก็มี อยู่ข้างๆ ร้านที่เราทานมื้อเที่ยง ตอนรอโต๊ะมื้อเที่ยง เราผู้หิวโหยและร้อนมาก ต้องการอะไรรองท้องเย็นๆ เลยเดินเข้าไปฝากท้องไว้ก่อน สั่ง Coconut Cocoa มาค่ะ อร่อยมาก โกโก้เข้มข้นสุดๆ นัว เนียน อร่อยมาก

กินเสร็จ ฝนก็ตกลงมาโครมใหญ่ เราเลยไปหลบฝนกันในคาเฟ่ก่อน อย่าเพิ่งสงสัยว่าคาเฟ่อีกแล้ว ทำไมกินเยอะจัง ก็มันเป็นเมืองหุบเขา ดอกไม้ และคาเฟ่ และเราก็ชอบกินกันด้วยค่ะ ก็ขอแวะหน่อย แต่จุดประสงค์หลักก็ไปหลบฝนด้วย

39) Là Viet Coffee

คาเฟ่สไตล์โรงนา เรตติ้งดี นั่งหลบฝนกันยาวหน่อย ก็สั่งกาแฟ สั่งไอติมชาเขียวมะพร้าวมาลอง พอฝนเริ่มซาเราก็ไปต่อค่ะ

40) Domaine de Marie (โบสถ์ชมพู, โบสถ์พระแม่มารี)

โบสถ์พระแม่มารี เป็นโบสถ์คาธอลิกสีชมพูหวาน สวยด้วยสถาปัตยกรรมแบบ French-Vietnamese style เราไปถึงตอนฟ้าหม่นมัว ฝนตกหน่อย ๆ เลยทันได้ถ่ายรูปกันเล็กน้อย เค้าห้ามเข้าไปข้างในด้วยค่ะ เลยยืนไหว้จากหน้าทางเข้าโถง รู้สึกสงบดี

โปรแกรมเดิมเราจะต้องขึ้นเคเบิ้ลคาร์ แต่ฝนตกแบบนี้ต้องเปลี่ยนแผน ตอนนี้ฝนเริ่มถล่มแล้ว ไปไหนไม่ได้ ก็เลยขอวินดี้พาไปร้านกาแฟที่จะชมวิวเมืองดาลัทได้

41) Amazing Coffee

ร้านกาแฟบนเนินเขา มองเห็นวิวเมืองดาลัทในสายหมอกและม่านฝนได้ถนัดกำลังดี บรรยากาศฟีลใกล้เคียงกับ Cesky Krumlov ที่ประเทศเช็กเลย (ว่าซั่นนน)

ด้วยความที่กินจนไม่รู้จะกินอะไรแล้ว อิ่มมาก ก็เลยสั่งชาอาร์ติโช้กมา แต่แม่สาวพนักงานเสิร์ฟเข้าใจผิด เอาชากระเจี๊ยบมาให้แทน (นี่ก็ว่านี่เปิด Google Translate แล้วนะ)

ฝนตกโปรแกรมก็จะรวน ๆ หน่อย พอฝนเริ่มซา เราก็กลับโรงแรมไปเก็บของ พักผ่อนนิดหน่อย และออกมาเดินตลาดกลางคืนค่ะ วินดี้คนขับก็ไปส่งพวกเราแล้วเขาก็กลับไป

42) Night Market

ก็ตรงตัวนะคะ ตลาดกลางคืน มีอาหารสตรีตฟู้ดมากมาย คนก็แน่น บรรยากาศคึกคัก ฝนตกปรอยๆ แต่เราก็สู้ เพราะไม่งั้นจะต้องอุดอู้ในโรงแรมค่ะ mission เราอยากกินพิซซ่าเวียดนาม (แอบเล็งที่ตลาดกลางคืนญาจางคืนก่อน) เจอแผงแรกก็จัดเลยค่ะ อร่อยดี สังเกตว่างานแป้งนี่เวียดนามชนะเลิศ ร้านข้างทางยังอร่อย

นอกจากนี้ยังมีร้านน้ำเต้าหู้ แต่ที่เด็ดคือนมถั่วลิสงร้อน คือดีมาก

แวะซื้อของที่ระลึก พวกสมุนไพร ผลไม้แปรรูปที่ร้าน L’Angfarm มีหลายสาขามาก

เดินไปเรื่อยๆ ชมนู่นนี่ และไปปิดท้ายอาหารเย็นที่ร้านอาหารเกาหลี

43) Seoul Dalat

ร้านอาหารเกาหลีราคาย่อมเยา รสชาติโอเคใช้ได้ค่ะ

มาลองให้รู้ว่าอาหารเกาหลีในเวียดนามเป็นยังไง

กลับโรงแรมอาบน้ำนอนค่ะ ชาร์จพลังสำหรับวันพรุ่งนี้

DAY 7 (22 June)

เริ่มวัน 8.20 น. เช่นเคยค่ะ แปดโมงก็รีบลงมากินอาหารเช้าก่อน พยากรณ์ว่าฝนจะตกหนักตั้งแต่เที่ยง ดังนั้น ต้องรีบเก็บโปรแกรมให้ได้ในช่วงเช้าค่ะ ตอนเช้าจะเป็นรายการสวนดอกไม้ต่างๆ

โปรแกรมวันนี้

  • Tùng Ha Lavender Farm
  • Vuòn Sua Cún – Puppy Garden
  • Fresh Garden
  • Garden Hydrangeas
  • Linh Phuóc Pagoda
  • Nem Nuóng Phuong (ร้านแหนมเนือง)
  • Kokoro Cafe at Dalat Maples

44) Tùng Ha Lavender Farm

เปิดกันด้วยทุ่งลาเวนเดอร์เลยค่ะ ไม่ต้องไปไกลถึงฮอกไกโดก็ได้ ที่นี่เปิดใหม่ + เรามาช่วงเช้า คนเลยไม่เยอะ ถ่ายไม่ติดคนอื่น ได้วิวทุ่งลาเวนเดอร์สุดลูกหูลูกตา และไม่ได้เป็นทุ่งราบธรรมดา ยังมีเป็นแบบขึ้นเนินเขาสวยๆ มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย แดดร้อนก็สู้ตาย (เหรอ)

เค้าเก็บค่าเข้าเป็นค่าเครื่องดื่ม บังคับสั่งทุกคน จะดักตรงทางเข้า แล้วไปรับเครื่องดื่มด้านบน (เดินขึ้นเนินไป) ก็คนละประมาณสี่สิบบาท

ระหว่างเดินเล่นขึ้นเนินถ่ายรูปไป จะได้กลิ่นหอมลาเวนเดอร์หอมอ่อนๆ โชยมาเป็นระยะ แม้ว่าดอกจะยังบานไม่เต็มที่ ยังไม่เห็นสีม่วงชัดเจนเท่าไหร่

เครื่องดื่มหวานมาก ไม่อร่อย จิบหนึ่งคำต้องหยุดค่ะ

ห้องน้ำสะอาดดี

โดยรวมชอบที่นี่เพราะกว้างขวาง คนไม่เยอะด้วย วิวสวย

จากนั้นทำเวลาต่อค่ะ

45) Vuòn Sua Cún – Puppy Garden

ฟาร์มหมาเปิดใหม่ต้อนรับนักท่องเที่ยว คือจะมีส่วนที่ให้เราเล่นกับหมา และส่วนที่เป็นสวนดอกไม้

ค่าเข้าก็คนละประมาณสี่สิบบาท วินดี้จอดให้พวกเราลงไปซื้อตั๋วเอง เข้าชมเอง นางก็รออยู่ที่รถ

น้องหมาก็มีคอร์กี้ ไซบีเรียน เฟรนช์บูลด๊อก เยอะสุดคือคอร์กี้ค่ะ แต่น้องจะเบื่อๆ อยากหลับ แต่นักท่องเที่ยว (โดยเฉพาะเด็ก) ก็จะไปรุมเล่นกับพวกนาง พวกนางก็ทำหน้าเซ็งสุดๆ ค่ะ เราว่าน่าสงสาร น้องๆ น่าจะร้อนด้วยค่ะ อากาศตอนนั้นคือร้อนมากและน้องก็ขนยาว

ส่วนโซนสวนดอกไม้ก็โอเค แต่ไม่ได้ว้าวมาก เรียกว่าเฉยๆ ก็แล้วกันค่ะ

แล้วไม่ใช่เราไม่อินหมานะคะ เราชอบหมามาก ที่บ้านเรามีคอร์กี้สาวน้อยตัวนึงด้วยแหละ แต่พอมาเห็นน้องหมาต้องมารับแขกโดยอารมณ์พวกนางไม่จอย ก็รู้สึกสงสารค่ะ

46) Fresh Garden

อีกสวนดอกไม้เปิดใหม่ที่บริษัททัวร์ยืนยันให้มา ก็เป็นสวนดอกไม้ครบวงจร มีทั้งแปลงดอกไม้ และพวกอุโมงค์ ถ้ำ รูปปั้นต่างๆ ให้ไปถ่ายเล่น ประมาณว่าอยากให้เป็นที่ที่มาแล้วเก็บครบหมด

แต่เราเฉยๆ ไม่ต้องมาก็ได้

ตอนนี้หิวข้าวมาก และฝนก็ทำท่าจะตกมาตั้งนาน พอเรากำลังจะไปที่ต่อไป ฝนก็ตกลงมาโครมใหญ่เลย

47) Garden Hydrangeas

ทุ่งดอกไฮเดรนเยียที่บริษัททัวร์บอกว่าสวยสุด คือสุดยอดไฮไลต์ แต่ฝนตก ทำให้เรารออยู่ในเพิงสำหรับรอ ประมาณชั่วโมงครึ่ง ฝนก็ไม่หยุดค่ะ ดอกไฮเดรนเยียเองก็ไม่ได้บานอะไรมากมาย ถ่ายไปก็ไม่สวย

แต่ชาวคณะยืนยันว่าให้รอ ก็รอไปค่ะ ฮือๆ

จนสุดท้ายก็ยอมควักเสื้อกันฝนมาสวม แล้วเดินไปถ่ายรูปสามสี่ช็อตให้รู้ว่ามาถึงแล้ว

เราควรพอแล้วกับทุ่งดอกไม้

ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง หิวจนแทบขาดใจตาย แต่วินดี้บอกว่า ยัง พวกเธอยังกินข้าวเที่ยงไม่ได้ เพราะเหลืออีกที่ที่เป็นทางเดียวกัน ไปเก็บให้ครบก่อน

48) Linh Phuóc Pagoda

วันลึงเฟือก หรือ ดินแดนแห่งสวรรค์เป็นวันพุทธนิกายเซน ตกแต่งด้วยศิลปะจากเซรามิก ว่ากันว่าสร้างจากเศษกระเบื้องเหลือใช้มาทุบๆ รวมกันสร้างเป็นวัดขึ้นมาค่ะ

ที่นี่มีหอระฆัง7ชั้นที่ถือว่าสูงที่สุดในเวียดนาม ผนังด้านบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า

มีเจ้าแม่กวนอิมปางประทานพรทำจากกระดาษขนาดใหญ่ให้ชาวพุทธเราได้กราบไหว้อีกด้วย

จุดนี้เราหิวจะตายละค่ะ

สุดท้ายก็ถึงคิวอาหารกลางวันของเราสักที เวลา 15.15 น.

49) Nem Nuóng Phuong (ร้านแหนมเนือง)

โจทย์คืออยากกินแหนมเนืองต้นตำรับ วินดี้เลยพามาร้านนี้ค่ะ อร่อยมากกกก

ตั้งแต่มาเวียดนาม รู้สึกเลยว่าประเทศนี้ทำแป้งอร่อย ไม่ว่าขนมปัง ไปจนถึงแป้งแหนมเนือง แป้งแหนมเนืองจะมีความแข็งหนึบสู้ฟัน แต่ไม่ได้แข็งจนกินไม่ได้ และเนื้อแป้งก็บาง กินแล้วอร่อย (นึกถึงปอเปี๊ยะสดที่ร้านบาบีคิววันก่อน ยังอร่อยมากเลย) วิธีกินแหนมเนืองของเค้าจะไม่ใส่น้ำจิ้มไปแล้วค่อยม้วนเหมือนบ้านเรา เค้าจะม้วนให้จบก่อน แล้วค่อยให้เราเอาแหนมเนืองที่ม้วนแล้วจิ้มน้ำจิ้มในถ้วยกินแทน

สำหรับเราที่เด็ดคือ แผ่นแป้งแหนมเนืองที่เอาไปม้วนเป็นแท่งผอมๆ ทอดกรอบ รสชาติจะติดเค็มๆ มันๆนิดๆ เค้าจะเอาแป้งม้วนทอดกรอบนี่ใส่เป็นเครื่องตอนม้วนแหนมเนืองไปด้วย ดังนั้น พอแหนมเนืองเข้าปาก นอกจากเราจะได้รสหนึบของแป้งห่อข้างนอก เนื้อหมูข้างใน ใบผักต่างๆ แล้ว ยังได้ความกรอบ crunchy ของแหนมเนืองด้วยค่ะ

สิบผ่านนนน

ฝนเริ่มซา แต่ก็เย็นมากแล้ว เราเลยเหลือที่สุดท้ายอีกเฮือกนึง ไหน ๆ วันนี้เป็นวันแห่งสวนแล้วก็เลยจัดไปค่ะ

50) Kokoro Cafe at Dalat Maples

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ ที่พยายามเล่นใหญ่จัดเต็ม ที่นี่ทำเป็นสวนญี่ปุ่นขนาดใหญ่ แลนด์สเคปอลังการ ทำถึงด้วย มีโซนให้เช่าชุดถ่ายด้วย (เราไม่ได้เช่า)

ตอนนั้นฝนหยุดตกแล้ว อากาศก็เย็นลง ไม่มีแดด เพราะใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว เลยเดินเล่นถ่ายรูปกับฟินๆ ชิลๆ ดีค่ะ เค้าทำออกมาดี ถ่ายรูปสวย เดินสบาย

ค่าเข้าประมาณ 40-60 บาท/คน

เป็นอันจบโปรแกรม และเนื่องจากเราเพิ่งอิ่มแหนมเนืองไป เย็นนี้เราก็กะว่าจะไม่กินอะไรแล้วค่ะ

ชาวคณะอยากไปเดินตลาดกลางคืนแบบเมื่อวานต่อ เราก็ขอตัว อยากนอนพักสบายๆ ในโรงแรมค่ะ จะได้จัดกระเป๋า เพราะพรุ่งนี้จะย้ายเมืองแล้วน้า

DAY 8 (23 June)

วันนี้จะเดินทางไปมุยเน่กัน แต่เนื่องจากยังเก็บโปรแกรมในดาลัทไม่หมด (เนื่องจากฝนตกหนักสองวันที่ผ่านมา) ก็เลยจะแวะเก็บอีกสองที่กันหน่อยค่ะ

  • Breakfast at hotel 8.00
  • Check Out 8.30
  • The Crazy House
  • Robin Hill Cable Car
  • Truc Lam Monastery

เช็กเอาต์เรียบร้อย ก็มาแวะเที่ยวกันก่อนอำลาดาลัทค่ะ

51) The Crazy House

The Crazy House หรือ Hang Nga House เป็นผลงานการออกแบบของสถาปนิกสาวชาวเวียดนามที่จบปริญญาเอกจากรัสเซีย ที่มาเยือนดาลัทแล้วหลงรัก ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากการที่อยากให้คนได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากเธอมองว่าปัจจุบันคนทำลายป่าไม้กันทั่วโลก คนใช้ชีวิตห่างเหินจากธรรมชาติไปทุกทีๆ

ลักษณะสถาปัตยกรรมที่เราเห็นจะเหมือนบ้านในเทพนิยาย มีความถ้ำ บ้านต้นไม้ อุโมงค์ อารมณ์อลิซอินวอนเดอร์แลนด์ เฮเซิลแอนด์เกรเทิลอะไรประมาณนี้เลย

เหนื่อยกับการปีนป่ายนี่แหละ

52) Robin Hill Cable Car

ต่อกันที่นั่งกระเช้าขึ้นเขา ชมทะเลสาบเตวียนลัม (Tuyen Lam Lake) ระหว่างขึ้นกระเช้า ผ่านวิวป่าสน เนินเขาเขียวขจี 

พอถึงยอดเขาก็ไปไหว้สักการะพระที่วัด Truc Lam Monastery แต่คนเยอะมาก และเราร้อนแดดมาก รู้สึกเหมือนจะเป็นลม เลยขอหลบร่มนิด

จากนั้นได้เวลาอำลาดาลัท มุ่งหน้าสู่มุยเน่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมง

โดยมีแวะระหว่างทางให้ 2 ครั้งเพื่อเข้าห้องน้ำ

ระหว่างทางเปลี่ยนเมือง ขึ้นเขาสูง มีจุดชมวิวและแวะพักทานอาหาร ก็เลยแวะหาอะไรรองท้องทาน

ลักษณะเหมือนร้านกาแฟริมเขาดอยช้าง ดอยวาวี อารมณ์นั้นเลย

อาหารไม่มีให้เลือกมาก นอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เสิร์ฟในถ้วย ดูเหมือนก๋วยเตี๋ยว กินตอนหิวก็อร่อยดีค่ะ

ส่วนอโวคาโดปั่นนั่น นึกว่าปั่นกะนม ปรากฏเป็นอะโวคาโดสับๆ ราดนมข้น กินแล้วฝืดคอสุดๆ

4. Muine มุยเน่

ที่พัก: Meraki Oasis Hotel

  • Meraki Oasis Hotel
  • Quan Ba Ke Tuần Thao 180 (Seafood dinner)
  • Muine Swiss House

พอถึงมุยเน่ ส่งพวกเราเข้าที่พักแล้ว วินดี้คนขับของเราตลอดสามวันก็จบหน้าที่ตัวเองเท่านั้น เขาจะตีรถกลับไปดาลัทรับลูกค้าล็อตถัดไป แต่บริษัททัวร์ของเราได้เตรียมคนขับเฉพาะกิจในมุยเน่ไว้ให้ คนขับคนใหม่นี้ (จำชื่อไม่ได้) จะมารับเราที่โรงแรมไปทานอาหารเย็นค่ะ

53) Meraki Oasis Hotel

ที่พักยอดฮิตในหมู่คนไทย ด้วยความที่ตกแต่งโทนขาว ตัดกับสระสีฟ้า ชายหาด และน้ำทะเลฟ้า ให้ฟีลแบบซานโตรินี่กรีซ ก็เลยเดินเล่นถ่ายรูป แต่เราไม่ได้เตรียมแมกซี่เดรสใดๆ มาถ่าย ก็เดินถ่ายทั้งชุดยาวปิดแขนปิดขานั่นแหละ ฮ่าๆๆ

ส่วนห้องพัก เข้าไปแอบช็อกนิดนึง เพราะแอบสกปรกหน่อย ประตูมีรู ทำให้ยุงและแมลงเข้ามาเต็มเลย

ชาวคณะเราจะไปว่ายน้ำเพราะติดชายหาดเลย แต่เราผู้หิวมากกว่า เกินกว่าจะทำกิจกรรมใดๆ ได้ เลยขอไปเดินเล่น นั่งเล่นรับลมทะเลอย่างสงบระงับความหิว

ทันใดนั้น ตาก็เหลือบไปเห็นคุณป้าปิ้งหอยอยู่ริมหาด ใส่เครื่องปรุงอะไรด้วย หอมฉุยเลย ความหิวเข้าสิงพอดี เลยเดินไปถามราคา หอยตัวละแปดหมื่นดอง ก็พอไหวอยู่นะ จัดไปเลยสองตัว หอยอะไรไม่รู้ ใหญ่ๆ ข้างในมีเนื้อเยอะด้วย ป้าจะค่อยๆ ย่างพร้อมปรุงรส ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที เสร็จแล้วใส่ถาดมาให้

อร่อยมากกกก

ยังไม่ทันอิ่มก็หมดซะละ เลยชะโงกหน้าดูว่าป้ามีอะไรในสต๊อกอีก ป้ามีปลาหมึกค่ะ เลยจัดไป

อร่อยฟินรองท้องก่อนมื้อเย็น คนขับมารับที่ลอบบี้ตอน 18.30 น.

55) Quan Ba Ke Tuần Thao 180 (Seafood dinner)

ร้านซีฟู้ดชื่อดังของมุยเน่ อยู่ห่างจากโรงแรมเราไปประมาณเกือบสองกิโล ขาไปคนขับมารับไปส่ง แต่ขากลับต้องกลับเองค่ะ

ร้านนี้เป็นร้านฮิต พนักงานขายสื่อสารภาษาไทยได้นิดหน่อย ดูแล้วรู้เลยรับคนไทยมาเยอะ

อาหารทะเลอร่อยใช้ได้ค่ะ แต่ส่วนตัวเราแอบชอบร้านแรกที่ญาจางมากกว่า

เนื่องจากเราเริ่มเลี่ยนอาหารทะเล เลี่ยนอาหารเวียดนามที่สาดผงชูรสกระจุยกระจาย ก็เลยอยากหาของหวานฝรั่งล้างปากสักหน่อย เลยเดินต่อไปอีกนิด ก็จะเป็นร้านอาหารสวิสค่ะ

56) Muine Swiss House

ร้านนี้เจ้าของเป็นคนสวิส พูดฝรั่งเศส อาหารก็เป็นเครป พาสต้า แซนด์วิชสไตล์ฝรั่งเศสต่าง ๆ เราผู้อิ่มอาหารทะเลมาแล้วเลยสั่งเครปซูแซท กับกล้วยหอมทอดน้ำเสาวรสทานคู่ไอติมวานิลลา อร่อยมากทั้งสองเมนูเลยค่ะ ฟินมากกก

นั่งแกรบกลับโรงแรม เป็นอันจบวัน

DAY 9 (24 June)

วันนี้เราจะเริ่มเที่ยวไฮไลต์ของมุยเน่ และเดินทางกลับโฮจิมินห์ช่วงบ่ายค่ะ

โปรแกรมตอนเช้า

  • White Sand Dunes
  • Pit Stop Night Bar (Breakfast)
  • Muine Swiss House
  • Meraki Oasis (Check-out)

วันนี้เราจะตะลุยทะเลทรายมุยเน่กัน

57) White Sand Dunes

คือเนินทรายสีขาว (มีอีกที่คือสีแดงแต่เราไม่ได้ไปค่ะ)

บริษัทจะส่งคนขับรถจี๊ปมารับเราที่โรงแรมตอน 4.30 น.

ใช่ค่ะ ตีสี่ครึ่ง เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายค่ะ

เราก็ต้องตื่นมาตั้งแต่ตีสามครึ่ง แต่เอาจริงก็ตื่นเกือบตีสี่ เพราะตัดขั้นตอนแต่งหน้าทำผม เหลือแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ทาครีมกันแดด กะว่าเวลาถ่ายรูปก็ใส่แว่นตากันแดดอยู่แล้ว ปากก็เติมลิปเอา หัวก็ใส่หมวก ไม่ต้องทำไรเยอะ

รถจี๊ปมารับ เราก็นั่งไปประมาณ 40 นาที จากนั้นคนขับชื่อคิม ก็ให้บัตรเรา ตอนนี้ต้องเปลี่ยนเป็นรถ ATV เพื่อเข้าไปในเขตทะเลทราย คิมจะไปรับเราตรงทะเลสาบเผื่อถ่ายรูปให้ตอนหกโมงเช้า (มีโซนที่เป็นทะเลทรายกับทะเลสาบ)

เราก็นั่ง ATV คันละสองคน นั่งกันหัวสั่นหัวคลอนไปถึงเขตเนินทราย ให้ได้ชมแสงแรกของวันโผล่พ้นขอบฟ้าตัดกับผืนทราย เดินเล่น ถ่ายรูปกัน

อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นมาก การเดินขึ้นลงบนทรายเริ่มยากเพราะมีแรงดูดยวบ หนักเอาการเลยค่ะ

เราเตรียมเสื้อกันฝนสีส้มสดมาสวมถ่ายรูปให้เข้ากับบรรยากาศด้วย เลยยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่

จากนั้นต้องหารถเอทีวีกลับค่ะ เราก็โชว์บัตรที่ได้มาตอนแรก แล้วเลือกรถคันไหนก็ได้ที่จอดรอตรงนั้น จากนั้นก็ไปตรงโซนทะเลสาบ

แต่พวกเราไปช้ากว่าหกโมงนิดนึง มองหาคนขับคิมไม่เจอ ก็เลยถ่ายรูปกันสักครู่ เรียกรถเอทีวีกลับไปยังจุดนัดพบ เจอคิม ฮีก็บอกว่ารอพวกเราอยู่นานจะถ่ายรูปให้

พวกเราก็บอก งั้นช่างเถอะ เราถ่ายกันเยอะละ พอๆ ไปต่อดีกว่า

เราก็นั่งรถจี๊ปไปมุมถ่ายรูปอีกสองที่ คือโซนกังหันลมค่ะ

คนขับจี๊ปที่นี่จะถูกเทรนให้ถ่ายรูปด้วยกล้องมือถือของลูกค้าให้ออกมาสวยที่สุด จัดท่า จัดมุม ดูแสงให้อย่างดี เค้าก็ใช้ไอโฟนของเราถ่ายให้ด้วยโหมด Portrait ทีนี้ด้วยโหมดนี้ พอไปถ่ายไกล ๆ กับมุมที่จัดมาแล้ว ท่าที่จัดให้ เลยออกมาสวยคมชัดเหมือนถ่ายด้วยกล้องโปร

เราเริ่มเหนื่อยมาก ทั้งง่วง ทั้งร้อน แดดก็แรงระอุขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหมดอารมณ์ถ่ายรูปค่ะ

เค้าจะพาไปถ่ายกลางถนน นั่งบนรถจี๊ป ได้รูปออกมาคุ้มค่า

ที่สุดท้ายคือถ่ายบนรถจี๊ปกับมุมเลียบทะเล ถึงจุดนี้เราขอรอในรถละ ไม่สนรูปละ เพราะไมเกรนเริ่มขึ้นค่ะ

กลับโรงแรมอย่างสะบักสะบอม เก็บของเตรียมเช็กเอาต์

58) Pit Stop Night Bar (Breakfast)

ตอนนั้นเป็นเวลาแปดโมงนิด ๆ มนุษย์หิวอย่างเราเลยขอไปหาอะไรกินหน่อย นั่งแกรบไปโซนร้านอาหารที่มีหลายร้าน แต่ร้านที่หมายตาไว้ไม่เปิด เลยได้กินร้านที่มีแพนเค้กแฮมชีส อร่อยใช้ได้

ด้วยความที่ยังไม่อิ่มดี ก็เลยไปกินร้านเดิมเมื่อวานค่ะ

59) Muine Swiss House

ร้านนี้คือดีงาม รอบนี้เราสั่งพาสต้า และ Croûte Jambon-Fromage เป็นขนมปังกับแฮมราดชีสอบ แกล้มด้วยสลัด อร่อยมากกกกกกกกกก

พออิ่มแล้วก็กลับมาเก็บของโรงแรมค่ะ

รถจะมารับตอน 11.30 น. บริษัทไม่บอกอะไรนอกจากเช็กเอาต์แล้วให้ไปรอฝั่งตรงข้ามโรงแรม จะมีรถบัสมารับ เป็นรถนอน หรือที่เรียกว่า Sleeping Coach เราไม่เคยนั่งรถแบบนี้ก็สงสัยว่าจะเป็นยังไง

แต่ความตกระกำลำบากยังไม่สิ้นสุดค่ะ ลากกระเป๋ามารอฝั่งตรงข้ามโรงแรมอยู่พักใหญ่ แดดแผดเผาเปรี้ยงๆๆๆๆๆ กว่ารถจะมา แต่… ไม่ใช่รสบัสนอนค่ะ เป็นรถตู้ ก็ตกใจสิคะ คนขับลงมาสื่อสารพักใหญ่ ก็ยังงงง เพราะเราเห็นว่าในรถตู้คนก็แน่นแออัดแล้ว อย่าว่าแต่นอนได้เลย ที่จะนั่งให้เรายังไม่มี

เราก็เลยติดต่อบริษัท สรุปได้ความว่า รถตู้นี่จะมารับผู้โดยสารตามโรงแรมต่าง ๆ เพื่อนำไปส่งที่รถโค้ช ก็เอ้า… โอเค ขึ้นไปนั่งสักพักก็จอดข้างทาง แล้วให้ทุกคนลง เอาสัมภาระลง แล้วก็… ยืนรอรถนอนตรงนั้น

คุณพระ แดดร้อนมาก ลำเค็ญไปอีก สักพักรถนอนคันใหญ่ก็มาถึง แต่ยังไม่ได้ขึ้นนะคะ ต้องรอคนลงก่อน และรอทำความสะอาดรถสักหน่อย ลำเลียงกระเป๋าใส่ใต้ท้องรถ ขึ้นไปนอนได้

ใน sleeping coach คือกว้างขวาง ใหญ่โต สะอาดมาก นอนสบาย แอร์เย็นฉ่ำ

เค้าจะแวะจุดพักให้เราเข้าห้องน้ำกัน 1 ครั้ง (แต่ถ้าเทียบกับว่านั่งรถไปห้าชั่วโมง ควรจะแวะสองครั้ง)

ที่จุดพักก็มีของกิน ของที่ระลึกขาย เราก็เลยซื้อบั๋นหมี่มากินรองท้อง เพราะยังไม่ได้ทานอะไรหลังมื้อเช้าเลย

ตอนนี้อาการไมเกรนเริ่มหนักขึ้น คาดว่าจากการนอนน้อย (นอนดึกแต่ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น) และเจอแดดร้อนและอากาศร้อนของทะเลทราย ดีที่ได้นอนยาวหน่อยเพราะรถติด แต่กว่าจะถึงโฮจิมินห์ก็เกือบหกโมงเข้าไปแล้ว ยาวนานมาก

รถดรอปพวกเรากลางเมือง เราก็เรียกแกรบไปโรงแรมกันค่ะ คราวนี้เราเปลี่ยนไปอยู่อีกโรงแรม

5. Ho Chi Min (โฮจิมินห์)

ที่พัก: Liberty Central Saigon Citypoint Hotel

  • Liberty Central Saigon Citypoint Hotel
  • Ippudo Le Thanh Ton

60) Liberty Central Saigon Citypoint Hotel

โรงแรมนี้ทำเลดีมาก ใจกลางเมืองในเขต District One อยู่ใกล้ห้าง Takashimaya เดินไปไหนก็ใกล้ไปหมด เราเคยพักโรงแรมเครือลิเบอร์ตี้กันแล้วที่ญาจาง การันตีความเป๊ะ สะดวกสบายของโรงแรมเครือนี้ เสียแต่ให้น้ำน้อยไปหน่อย ให้แค่สองขวดจิ๋วเอง จะไปพออะไร!

เหนื่อยสายตัวแทบขาด อยากนอนแล้วสั่งรูมเซอร์วิสมากิน แต่ชาวคณะอยากกินราเมง เลยไปจบที่นี่ค่ะ

61) Ippudo Le Thanh Ton

ร้านราเมงสัญชาติญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคยกันดี รสชาติของที่นี่ก็โอเคค่ะ แล้วเมนูฟิชแอนด์ชิปส์สไตล์ญี่ปุ่นของเค้าก็ทอดได้อร่อยมาก

จบวันแบบร่างแหลก

DAY 10 (25 June)

วันนี้เป็นวันพักผ่อน ชาวคณะแยกย้ายกันตามอัธยาศัย เราขอนอนยาวๆ จนถึงสิบเอ็ดโมง ค่อยออกไปทานมื้อแรกตอนเที่ยงค่ะ โปรแกรมหลวมมากตามนี้

  • Play Dim Sum
  • Sol spa @ Liberty Central Saigon Citypoint Hotel
  • Com Tâm Moc (Dinner) ร้านในห้าง

62) Play Dim Sum

ร้านติ่มซำแนว Creative ทุกอย่างในร้านตั้งแต่กระดาษทิชชู่เปียก จาน ชาม ช้อน ตะเกียบ ที่วาง ล้วนคิดคัดสรรออกแบบมาให้สนุกสนาน ตั้งแต่จานลายมด ทำให้นึกว่ามีมดอยู่ในจาน ห่อกระดาษทิชชู่เปียกที่ทำเหมือนแพคเกจถุงยางบ้าง

ส่วนตัวติ่มซำก็อร่อยมาก หน้าตาก็น่ารัก สวยเหมือนจริงจนไม่กล้ากินเลย

แต่อร่อยแหละ ชอบนะคะ

แนะนำเลยควรมาค่า

63) Sol spa @ Liberty Central Saigon Citypoint Hotel

ตกบ่ายก็ขอไปพักผ่อนที่สปาของโรงแรมต่อค่ะ นวดไปยาวๆ สมาชิกที่เหลือไปเดินห้าง เดินตลาดกัน นัดกันว่าค่อยทานมื้อเย็นด้วยกันอีกที

64) Com Tâm Moc (Dinner) ร้านในห้าง

ร้านนี้ไม่ได้มีแพลนมาก่อน แต่ชาวเราที่เดินห้างไปสะดุดตาเข้า บอกว่าเมนูน่าทานมาก เป็นอาหารเวียดนามฟิวชั่น ก็เลยนัดให้มาเจอกันที่นี่

อร่อยหลายอย่าง แต่ที่ชอบคือเมนูยำดอกขจรกุ้งฝอยทานกับข้าวเกรียบ อร่อยมากกก

จบมื้อ จบวัน จบทริปค่ะ

DAY 11 (26 June)

  • Tan Son That International Airport (SGN)
  • Don Mueng International Airport (DMK)

วันนี้ก็เป็นวันเดินทางกลับค่ะ 

เช็กเอาต์ ไปสนามบิน เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

ส่วนตัวเรารอต่อเครื่องกลับเชียงใหม่ค่า

เป็นอันจบวัน จบทริปเวียดนามใต้อันยาวนาน

เรียกว่าเป็นทริปกิน และมีตะลุยผจญภัยนิดหน่อยพอให้ตื่นเต้น

สไตล์การเที่ยว ที่เที่ยว เพื่อนๆ ลองไปปรับดูให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ค่ะ เพลินมีรายละเอียดปลีกย่อยในการเดินทางนี้สรุปไว้ข้างล่างอีกทีค่ะ

ส่วนเส้นทางดาลัท-มุยเน่ เราใช้บริษัททัวร์ของ Dalat Paradise Travel ตามลิงค์นี้เลยค่ะ https://www.facebook.com/dalatmuinetrip/

ลักษณะบริการ

เค้าจะเป็นบริการคนขับรถให้เรา อาจมีแพลนเส้นทางแพลนโปรแกรมให้เราค่ะ แต่เค้าจะไม่ได้เป็นไกด์อธิบายนำเที่ยวนะคะ แค่ขับรถเฉยๆ ไปส่งเราตามจุดต่างๆ แล้วรอในรถ ค่าตั๋ว ค่าเข้าชมอะไรต่าง ๆ เราก็จ่ายเองค่ะ

การติดต่อสื่อสาร ก็จะคุยกับหัวหน้าบริษัทผ่านทางแชทค่ะ เช่น เรื่องโปรแกรม จุดนัดพบ นัดหมาย หรือเปลี่ยนแปลงโปรแกรมอะไรต่างๆ แล้วตัวหัวหน้าจะไปบรีฟกับคนขับเองค่ะ

แนะนำว่าถ้าใครจะใช้บริการ ให้ส่งข้อความไปสอบถามทางเพจได้เลยนะคะ เค้าจะโควทราคาออกมาให้ค่ะ อย่างโปรแกรมของเราก็จะตกคนละ 19,xxx บาทค่ะ รวมค่าโรงแรมที่ดาลัทด้วยค่ะ โรงแรมที่ดาลัทนี้ทางบริษัททัวร์แนะนำค่ะ

ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการเดินทางเที่ยวเวียดนาม

  • เราเจอปัญหาแกรบจ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่ได้ ต้องจ่ายเงินสด ดังนั้น ถ้าจะเดินทางด้วยแกรบ ให้เตรียมแลกเงินสดไว้เยอะ ๆ เลยค่ะ
  • ที่เวียดนามจะหา Location ปักหมุดในแกรบค่อนข้างยาก โดยเฉพาะถ้าเป็นร้านท้องถิ่นในต่างเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ พยายามทำการบ้านเรื่องเส้นทางให้ดี เช่น ชื่อถนน จะพอช่วยได้
  • เตรียมยาขนานต่าง ๆ ไปด้วย โดยเฉพาะถ้าเดินทางไปเมืองที่อากาศแตกต่างกัน อย่างหุบเขาหนาวเย็น แดดแรงตอนกลางวัน ลมทะเล และไอร้อนทะเลทราย
  • อาหารที่นี่ใส่ผงชูรสเยอะมาก คนที่แพ้ต้องระวัง คนที่ไม่แพ้ก็ต้องระวังเหมือนกัน เพราะทานไปบ่อยๆ เข้าก็อาจมีอาการแตกต่างกันแต่ละคนค่ะ อย่างของเราคือท้องเสียเล็กน้อยแต่บ่อยๆ ค่ะ ไม่ได้เหมือนอาหารเป็นพิษจากอาหารทะเล
  • คนที่นี่มีหลายแบบ แต่ได้รับคำเตือนเรื่องคน tricky ค่ะ ก็ต้องระวัง เช่น การจ่ายเงิน ทอนเงิน หรือตามร้านอาหาร จะมีการแอบยัดเยียดของให้ เราต้องถามก่อนทุกครั้งค่ะว่าฟรีหรือเปล่า

Budget ในการเที่ยวทริปนี้

  • รวมค่าตั๋วเครื่องบิน น้ำหนักกระเป๋า ที่พัก ค่าจ้างไพรเวทไดรเวอร์ ค่ากิน ไม่รวมช้อปปิ้งส่วนบุคคล ก็ตกราว ๆ คนละ 35,000 บาท
  • ทั้งนี้ทั้งนั้น แล้วแต่สไตล์การเที่ยวของแต่ละคนด้วยค่ะ ของเราไม่เน้นหรูหรามาก แต่ก็ไม่ได้เน้นประหยัดสุดๆ เราเน้นกิน เที่ยว นอนหลับสบาย ชิลๆ

ของช้อปปิ้ง

  • ตลาดสดของเยอะแยะ แนะนำให้ต่อไว้ก่อน เราไม่ได้ซื้อ แต่คนในคณะเราซื้อเก่ง ต่อเก่ง เซียนมาก ต้องคารวะ คือต่อเยอะไว้ก่อนเพราะเค้าเปิดมาสูง ของในตลาดก็พวกชา ผลไม้แปรรูปต่าง ๆ
  • ในห้าง หรือ คาเฟ่ ของที่ระลึกพวกโปสการ์ด ตุ๊กตา โมเดล ถ้วยชา ชา กาแฟ จะทำแพคเกจสวย แหวกแนว ดูดีค่ะ เหมาะกับการนำไปเป็นของฝาก

อาหารการกิน

  • คนส่วนใหญ่ไปสตรีตฟู้ด เรามีบ้าง แต่ไม่เน้น เน้นร้านอร่อย ไม่จำกัดว่าต้องกินข้างทาง กินได้หมด
  • คนที่นี่กินรสชาติติดเค็ม และใส่ผงชูรสเยอะ ส่วนเครื่องดื่มทำติดหวานมากไปหน่อยค่ะ

เงิน

– เราคิดเลขไม่เก่ง แต่ก็คำนวณเอาง่ายๆ คร่าว ๆ ว่า 100,000 ดอง = 150 บาท 

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน ๆ ที่อยากเดินทางไปเที่ยวเวียดนามใต้นะคะ

สอบถามหรือแชร์ไอเดีย ความเห็น หรือแนะนำเพิ่มเติมได้ เพลินยินดีมากๆ เลยค่ะ

ติดตามกันได้ที่

Blog: ploen-thejourney.com

Facebook: เที่ยวเพลิน – Ploen The Journey (fb.com/ploenthejourney)

Instagram: ploenthejourney

Youtube: Ploen The Journey

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.