
อันที่จริงเพลินเคยมาฮอกไกโดแล้วตอนปี 2015 ครั้งนั้นมากับทัวร์ ใช้เวลาแค่ 4 วัน ทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด คิดไว้ว่าต้องหาโอกาสมาให้ได้อีกครั้ง จนประจวบเหมาะปีนี้ 2019 มีคนชวนจัดทริปซัมเมอร์ฮอกไกโด ชมดอกไม้ และบลา บลา เพลินเลยรีบตกลง
แต่พิเศษหน่อยตรงที่ทริปนี้มีคุณป้าผู้ใหญ่สูงวัย (50 up) ไปด้วยถึง 6 ท่าน รวมเพลินและแฟนทริปนี้ก็มี 8 คน จะเดินทางทั่วฮอกไกโดโดยไม่ขับรถ
ความท้าทายก็เลยอยู่ตรงนี้ค่ะ เพราะฮอกไกโดนั้นแต่ละที่ไกลกันมาก ถ้าไม่มีรถก็แอบลำบาก แต่การขนส่งเดินทางของญี่ปุ่นเค้าก็ทำดี เดินทางง่าย วางแผนดี ๆ เราก็เดินทางกันได้น่า ทริปนี้เลยนั่งรถไฟ JR เป็นหลัก มีนั่งแทกซี่ เหมารถบ้าง นั่งรถแทรม รถราง รถบัสบ้างประปราย
ทำยังไงให้เค้าไม่เหนื่อย แต่ยังได้เก็บที่เที่ยวครบ เดินช้อปปิ้ง กินอร่อย เอนจอยความงามของฤดูร้อนได้ ก็เลยออกมาเป็นโปรแกรมเที่ยวอย่างละเอียดที่เพลินจะแชร์ให้ต่อไปนี้ค่ะ
Day 0 เดินทาง
Day 1 Sapporo – Mt.Moiwa ระฆังความสุข
Day2 Asahikawa – Furano – Tomita – Shikisai No Oka
Day3 Blue Pond – Shirahige falls- Asahiyama zoo – Izakaya En (dinner)
Day 4Sapporo – Niki – Sakuraanbo yama Kankou Nouen (Cherry Farm) – Otaru canal – Sapporo
Day 5: Makomanai (atama daibutsu) – Sapporo – Hakodate – Super Hotel – Take a walk – Port of Hakodate
Day 6: ตลาดปลาตอนเช้า Asa-ichi Morning Market – Goryokaku (ป้อมห้าแฉก) – Lucky Burger – Kanemori – Mt. Hakodate
Day 7: Noboribetsu – Jigokudani – Chitose- Rera outlet
Day 8: Sapporo – หอนาฬิกา สวนโอโดริ ทำเนียบแดง (ตึกแดง) – Horomitoge Lavender Garden – New Chitose Airport
Day 9: Bangkok

เลือกที่พัก
เลือกโรงแรมที่ติดหรือใกล้สถานีรถไฟให้มากที่สุด จะได้คล่องตัวในการเดินทาง เก็บของ
Route
ทริปนี้เที่ยวจริง 8 วัน รวมคืนเดินทางก็ 10 วัน
เส้นทางเมืองหลัก Sapporo – Asahikawa – Furano – Biei – Niki – Otaru – Hakodate -Noboribetsu -Sapporo – Chitose
โดยจะเริ่มจากซัปโปโร เที่ยวขึ้นไปทางเหนือหน่อย แล้วลงมาเที่ยวทางใต้ จากนั้นกลับมาเที่ยวตรงกลางฝั่งตะวันออกและรอบ ๆ

Airlines
เดินทางโดยสายการบิน Japan Airlines (JAL) ขาไป เที่ยวบิน JL728 23.30 น. แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินคันไซสองชั่วโมงครึ่ง ลงสนามบิน New Chitose
ขากลับแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน Haneda เที่ยวบิน JL598 21.45 น.
น้ำหนัก: Economy 23 kg.
เพลินเดินทางด้วย Business Class ได้น้ำหนัก 32 kg.
Spending
cash & บัตร Krungthai Travel Card สะดวกมาก
เดินทาง
JR Hokkaido Rail Pass, รถราง, แทกซี่, รถตู้, รถบัส
มารู้จักฮอกไกโดกันนิด

ฮอกไกโดเป็นเกาะขนาดใหญ่และเป็นจังหวัดที่อยู่ตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น มีเมืองหลวงคือซัปโปโร เดิมทีคนที่อาศัยในฮอกไกโดไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่เป็นชาวไอนุซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่บนเกาะนี้ สมัยก่อนยังถือฮอกไกโดเป็นดินแดนป่าเถื่อนรกร้างหนาวเย็น มีแค่เขตปกครองตนเองขนาดเล็กของไดเมียวตระกูลมัตซึมาเอะ และชาวไอนุกระจายเป็นเผ่าต่างๆ อยู่รอบ ๆ
ต่อมาในยุคเมจิญี่ปุ่นกลัวฮอกไกโดจะถูกรัสเซียครอบครอง จึงออกนโยบายให้คนย้ายไปอยู่ฮอกไกโดมากขึ้น ใช้นโยบายให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน และนำเทคโนโลยีการเกษตรช่วยการเพาะปลูกในพื้นที่หนาวเย็นได้สำเร็จ จึงมีการอพยพบุกเบิกฮอกไกโดครั้งใหญ่จนชาวญี่ปุ่นค่อย ๆ กลืนชาวไอนุดั้งเดิมได้ในที่สุด
ปัจจุบันฮอกไกโดถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของญี่ปุ่น เพราะเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ และเนื่องจากไม่ใช่เมืองโบราณ แต่เป็นเมืองสร้างใหม่ สถานที่ท่องเที่ยวในฮอกไกโดจึงเป็นแนวธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ และสวยงามต่างกันไปในแต่ละฤดู
ฤดูฮิตของนักท่องเที่ยวก็คือช่วงหน้าร้อน (มิย-สค) เพื่อมาชมทุ่งดอกไม้บาน โดยเฉพาะทุ่งลาเวนเดอร์ แต่จริง ๆ แล้วยังมีดอกอื่น ๆ อีกมากทั้งทิวลิป ซากุระ ลาเวนเดอร์ คอสมอส ป๊อบปี้ ลิลลี่บานเต็มหุบเขา และช่วงฤดูหนาว (ธค-กพ) ที่จะมีเทศกาลน้ำแข็ง เทศกาลหิมะ
อากาศ
หน้าร้อนที่เราไปช่วง 13-21 กค 2562 อุณหภูมิ 17-23 องศา กำลังดี ไม่ร้อนอบอ้าวเกิน
เตรียมตัว
1)แลกเงินสดไว้ โดยจะแบ่งเข้ากองกลางคนละ 30,000 ฿ใช้สำหรับเป็นค่าเดินทาง (รวมบัตร Hokkaido Rail Pass ค่าประกัน ค่าเดินทางอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ JR อย่างรถราง รถแทรม รถเมล์ ค่าขึ้นกระเช้า) ค่าเข้าชมต่าง ๆ และร้านอาหารบางมื้อ
อีกส่วนประมาณ 10,000 ฿ พกติดตัวไว้ (แล้วแต่คนว่าจะเก็บไว้เท่าไหร่) ส่วนเราแบ่งบางส่วนเข้าในบัตร Krungthai Travel card ใช้ง่าย สะดวก เรทดี
** งบนี้ไม่รวมค่าช้อปปิ้งอื่น ๆ นะคะ **
2) จอง Hokkaido Rail Pass สำหรับทุกคนทางออนไลน์ตั้งแต่ที่ไทย และมาออกตั๋วเมื่อถึงสถานี Sapporo เราเลือกแบบ 4 วัน Flexible เพราะไม่ได้ใช้ติดต่อกันทุกวัน (บางวันจะนั่งรถไฟท้องถิ่น แทกซี่ รถรางค่ะ)
3) เตรียมพาสปอร์ต, ยาประจำตัว, แว่นกันแดด, ครีมกันแดด, หมวก เพราะอากาศช่วงนี้ถึงจะไม่ร้อนมาก มีเมฆครึ้มก็จริง แต่แดดแรงมาก
4)รองเท้าเลือกแบบสวมสบายเพราะต้องเดินเยอะ
5) เตรียมกระเป๋าเล็กเพราะจะต้องไปค้างนอกเมือง 2 คืน 2 ครั้ง
เดี๋ยวจะสรุปโรงแรมให้อีกทีท้ายบล็อกนะคะ
Day 0-1: เดินทาง Bangkok – Kansai – Sapporo
บินกลางคืน เปลี่ยนเครื่องที่คันไซเช้าตรู่ ถึงฮอกไกโดประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า จากนั้นนั่ง Airport Rapid Train เข้าเมืองซัปโปโร ใช้เวลา 35 นาที ราคา 1,070 เยน/เที่ยว รถวิ่งชั่วโมงละ 4 คัน พอถึงสถานีก็ราว ๆ เกือบบ่าย เลยหาร้านทานมื้อเที่ยงที่สถานี หิวโซก็จะกินกันหนักนิดนึง

จากนั้นก็เรียกแทกซี่ไปที่พัก 4 คัน คันละ 2 คน เพราะมากันหลายคน มีกระเป๋าคนละ2ใบ
คืนแรกเราจองได้อพาร์ตเมนต์กลางเมือง ห้องใหญ่มาก นอนห้องละ 4 คน ในห้องนึงยังแบ่งเป็นอีก 2 ห้องนอน ถือว่าดีมาก
**โรงแรมชื่อ Randor Resident Hotel Sapporo Suites ใครมาแนะนำเลยค่ะ **


ภูเขาโมอิวะ

ล้างหน้าล้างตาแป๊บนึงก็ออกมาขึ้นรถรางไปจุดขึ้นชมวิว ภูเขาโมอิวะ (Mt.Moiwa) ตอนนี้บ่ายคล้อย อากาศเริ่มเย็น ลมโชยกำลังดี ภูเขานี้อยู่ใจกลางซัปโปโร ด้วยความสูง 531 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในฮอกไกโด และจะเห็นวิวซัปโปโรได้ทั้งเมือง
สมัยก่อนที่นี่เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวไอนุ เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของพระเจ้า และใช้เป็นที่เฝ้ามองความเป็นไปของเมือง
เราต้องขึ้นรถรางขึ้นมาก่อนและเปลี่ยนไปนั่งเคเบิลคาร์เล็กอีกทีนึง
ค่าขึ้นกระเช้าและเคเบิลคาร์ไป-กลับ 1,700 เยน




ไปสั่น “ระฆังแห่งความสุข” สักทีสองที ตอนนี้หมอกลงหนาจนมองไม่เห็นอะไรข้างล่างเลย ภาพที่ออกมาก็เลยจะขาว ๆ มัว ๆ แบบนี้นะคะ

เห็นวิวเมืองด้านล่างแบบมัว ๆ แต่ม่านหมอก

Nanda
ลงจากภูเขาก็ได้เวลาตะลุยบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างอาหารทะเลที่ Nanda คนเพียบเลยค่า โดยเฉพาะคนไทย พนักงานคนไทยช่วยอำนวยความสะดวกอย่างดีด้วย เค้าบอกจริงๆ ต้องจอง แต่พวกเราดุ่มๆ ไปเลยโชคดีมีคิวว่างพอดี พอตกลงที่นั่งปุ๊บเค้ารีบจับเวลา 100 นาที เกินนี้ปรับจ้ะ

สำหรับรสชาติ เราว่าเฉยๆ นะ หรือว่าคาดหวังเยอะก็ไม่รู้ แต่ผู้ใหญ่เค้าฟินได้แข่งกันแกะปู ปิ้งกุ้ง ปิ้งหอยสนุกสนาน
จากนั้นเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ทานุกิโคจิ พักใหญ่ๆ ผู้ใหญ่ไม่ยักเหนื่อยแฮะ จนเกือบสี่ทุ่มค่อยเข้าที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดินนี่เอง
คืนนี้เก็บกระเป๋าเล็กสำหรับไปค้างที่ Asahikawa 2 คืน ส่วนกระเป๋าใหญ่ พรุ่งนี้เราจะเอาไปฝากไว้อีกโรงแรมที่เราจะกลับมาพักอีกในวันที่ 4 ของการเดินทาง
Day2: Asahikawa – Furano – Biei
โรงแรมที่เราจะกลับมาพักที่ซัปโปโรอยู่ติดสถานีเลยค่ะ พวกเราเรียกแทกซี่ไปส่งโรงแรม Hotel WBF Sapporo Northgate แล้วเอากระเป๋าใหญ่ไปฝากโรงแรมนี้ไว้ก่อน ค่าฝากชิ้นละ 500 เยน
จากนั้นมุ่งหน้าเข้าสถานี เดินทางไป Asahikawa ด้วยรถไฟ JR เที่ยว 8.30 ใช้เวลาเดินทาง 1ชั่วโมงครึ่ง เริ่มใช้ Hokkaido Rail Pass วันนี้เพราะต้องข้ามเมืองค่ะ

แวะซื้อเสบียงไปทานบนรถไฟ

เก็บกระเป๋าเช็กอินเข้าโรงแรมซึ่งอยู่ติดสถานีเลยชื่อ Premier Cabin โรงแรมจะเก่าๆ ห้องเล็กน้อย แต่เราซื้อทำเล ก็สะดวกดี ยิ่งช่วงนี้หน้าไฮ หาโรงแรมยากมาก ได้เท่านี้ดีแล้ว และมีออนเซนให้แช่อีกด้วย
โดย 2 วันนี้ เราจะเที่ยวอยู่ใน Asahikawa – Furano- Biei ค่ะ
Furano / Tomita Farm


นั่งรถไฟสาย Norokko-go Train จากสถานี Asahikawa ไปลงสถานี Lavender Farm Station รถไฟสาย Norokko นี้มีเฉพาะหน้าร้อนเพื่อให้ไปเที่ยวทุ่งดอกไม้โดยเฉพาะ บัตร Hokkaido Rail Pass ใช้ได้เลยนะคะ ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ก็ถึง จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึง Tomita Farmค่ะ


คนไทยเราคุ้นกับโทมิตะฟาร์มดีเพราะเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใหญ่และดังที่สุด แต่จริงๆ ยังมีทุ่งลาเวนเดอร์อีกหลายที่ แต่เราก็พาผู้ใหญ่มาที่นี่ พวกเค้าจะได้ฟินเพราะมีขนม มีมุมอะไรให้ถ่ายเยอะ มีดอกไม้เต็มๆ
ถ้าใครเคยมาเมื่อก่อนเค้าจะไม่กั้นระหว่างเมล่อนคาเฟ่กับตัวทุ่งดอกไม้ เดี๋ยวนี้กั้นแล้ว ต้องเดินเข้าคนละทาง ตอนนี้หิวมาก คิวร้านอาหารตรงเมล่อนคาเฟ่ก็ยาวเหยียด เลยสั่งของทานเล่นที่ได้เลยมาแทน (ถ้าเป็นอาหารอย่างอื่นคิวยาวแถมต้องรอนานเป็นชั่วโมงเลย)

ทานเสร็จเราก็เข้าทุ่งลาเวนเดอร์กัน ตอนนั้นบ่ายโมงนิดๆ แดดกำลังเปรี้ยงๆ แต่ก็มีเมฆพอให้ทนไหว แถมคนก็มหาศาลกว่าจะหามุมถ่ายได้ แต่ในความคนเยอะก็คึกคักไปอีกแบบค่ะ



ที่สำคัญไอติมลาเวนเดอร์อร่อยมาก
มันฟินจริง ๆ น้า


เราเคยมาเมื่อหลายปีก่อนติดใจไม่ลืม ครั้งนี้เลยต้องสั่งมาทานอีกค่ะ หอมสดชื่น ไม่หวานจนเกิน กินแล้วหายร้อนหายเหนื่อยเลยค่ะ


นอกจากส่วนทุ่งลาเวนเดอร์ที่เห็นติดกับทุ่งดอกไม้อื่นๆ ยังมีเนินลาเวนเดอร์อีกนะคะ ต้องเดินย้อนไปข้างบนนิดนึง ถึงจะคนเยอะ(อยู่ดี) แต่ก็ได้ฟีลเป็นเนินดีค่ะ



ตรงนั้นมีร้านขายของที่ทำจากลาเวนเดอร์ด้วย เราได้ชากับยาทาเล็บลาเวนเดอร์มาค่ะ (ไม่ได้ถ่ายยาทาเล็บมานะคะ)

Shikisai No Oka แห่ง Biei

ออกจากฟาร์มโทมิตะราวบ่ายสามนิดๆ นั่งรถไฟกลับไปลงสถานี Biei แล้วเรียกแทกซี่ต่อไปยังสวนดอกไม้ Shikisai No Oka ซึ่งเป็นสวนขนาดใหญ่ วิวพาโนราม่า เป็นเนินดอกไม้ลาดยาวสุดลูกหูลูกตาเหมือน Patchwork Road ที่เป็นผ้าหลากสีเย็บต่อกัน

ตอนที่ไปถึงนั้นแดดร่ม ลมโกรก ค่อนข้างสบาย เราก็นั่งรถแทร็คเตอร์ชมบริเวณต่างๆ ในฟาร์ม นั่งจนหัวสั่นหัวคลอน ช่วงนั้นเริ่มเย็นแล้ว คนก็ไม่เยอะมากเท่าตอนกลางวัน ดอกไม้ก็บานสวยงามอลังการ







เราออกจากสวนนี้หกโมงเย็นเค้าปิดพอดี ออกเป็นกลุ่มท้ายๆ เลยค่ะ เนื่องจากที่นี่อยู่ไกลก็เลยให้ทางสวนเรียกรถแทกซี่มาให้ (รอดไป นึกว่าจะกลับไม่ได้แล้ว)
แทกซี่ส่งสถานีเราก็นั่งกลับ Ashahikawa และหาร้านอาหารทานในห้างอิออนข้างสถานี มื้อนี้ทานชาบู ร้าน Shabu Sai ค่ะ แล้วกลับโรงแรมแช่ออนเซน
Day3: Blue Pond – Shirahige Falls, Asahiyama Zoo
เช้านี้เรายังไปเที่ยวเมือง Biei กันต่อ จะไปเที่ยวบ่อน้ำสีฟ้า หรือ Blue Pond โดยนั่งรถไฟไปลง Biei และเรียกแทกซี่ต่อไป (เพราะมากันหลายคน)
ปกติ 8 คน ถ้าไม่มีสัมภาระก็นั่ง 2 คัน แต่ทีนี้ด้วยการสื่อสาร พอบอกคนขับไปว่ามี 8 คน คนขับก็เลยโทรไปเรียกรถตู้มารับให้ รอห้านาที พวกเราก็ได้นั่งรถตู้คันใหญ่ไปพร้อมกัน 8 คน
โดยตกลงกับคนขับว่าเราจะไปเที่ยว Blue Pond และไปน้ำตกชิราฮิเงะข้าง ๆ คุณลุงบอกว่าทั้งสองที่ใช้เวลาเที่ยวรวมเวลาขับรถเดินทางทั้งหมด 1 ชั่วโมงครึ่งก็เที่ยวหมดแล้ว และลุงก็เหมาที่ราคา 16,000 เยน ซึ่งถูกมากๆ ถ้าหารต่อคน (ตกคนละ 2,000 เยน!)
Blue Pond บ่อน้ำสีฟ้า (Aoi-ike)

บ่อน้ำนี้มีชื่อเสียงด้วยน้ำสีฟ้าสดจนเหมือนเกินจริง และกิ่งก้านไม้ที่ผุดขึ้นกลางน้ำ เกิดภาพสวยแปลกตา จริง ๆ บ่อน้ำสีฟ้าเกิดจากการสร้างเขื่อนป้องกันดินจากภูเขาโทคะชิถล่มก็เลยเกิดเป็นน้ำกั้นไว้เกินออกมา ที่เห็นเป็นสีฟ้านั้นเกิดจากแร่อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์จากการปะทุของภูเขาไฟใต้น้ำสะท้อนกับแสงแดด โดยสีฟ้าที่เห็นจะแตกต่างกันไปตามสภาพท้องฟ้า แสงแดด และอุณหภูมิ


จริง ๆ ที่นี่อยู่แป๊บเดียวก็เที่ยวหมดแล้ว สมกับที่คุณลุงคนขับบอก

ด้านหน้าทางเข้ามีร้านขายไอติมและพุดดิ้งนมสีฟ้า ก็อร่อยใช้ได้ แต่แอบหวานไปนิดนึงค่ะ

จากนั้นเราก็รีบขึ้นรถตู้ (ทำเวลาสุดฤทธิ์) เพื่อนั่งต่อไปยัง Shirahige Falls ที่อยู่ไม่ไกล นั่งรถไปสักห้านาทีก็ถึง ลุงให้เวลาที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมง บอกว่าเหลือเฟือแล้วเพราะได้อยู่แต่บนสะพาน ชะโงกดูน้ำตก ลงไปไม่ได้หรอกนะ
Shirahige Falls

น้ำตกชิราฮิเงะ หรือน้ำตกสีฟ้า ถือเป็น 1 ใน 5 น้ำตกที่สวยที่สุดในฮอกไกโด สูง 30 เมตรเกิดจากรอยแยกของหน้าผา

ส่วนน้ำที่มีสีฟ้าอมเขียวเกิดจากแร่โคบอลต์ และน้ำจากที่นี่ก็ยังไหลลงสู่แม่น้ำบิเอะด้วย ซึ่งบางส่วนก็ไปรวมกับน้ำใน Blue Pond (ข้อหลังคุณลุงคนขับบอก)

มาในหน้าร้อนก็ได้ฟีลอีกแบบ ถึงจะไม่เห็นใบไม้หลากสีปกคลุม แต่ก็ได้เห็นสีเขียวชอุ่มคลุมน้ำตกไหลเป็นแนวสูงก็สวยมากแล้ว อากาศก็สดชื่น มีละอองน้ำกระเซ็นมาเป็นระยะ พวกเราก็ชะโงกหน้าจากสะพาน ดื่มด่ำกับน้ำตกตรงหน้าก็ฟินมากแล้ว

จากนั้นพอถึงเวลาที่ลุงกำหนด เราก็รีบขึ้นรถกัน ลุงไปส่งที่สถานีบิเอะครบกำหนด 1 ชั่วโมงครึ่งเป๊ะ
สรุปการเดินทางไปบ่อน้ำสีฟ้าและน้ำตกชิราฮิเงะ:
พวกเราเหมารถจากหน้าสถานีบิเอะ 1 ชั่วโมงครึ่งรวมเวลาเดินทางไปกลับจากทั้งสองที่ ซึ่งก็กำลังพอดี ไม่บีบเกิน เพราะเดินแป๊บเดียวก็เที่ยวหมด
สำหรับใครที่ไม่สะดวกเหมารถ เดินทางโดยรถบัสก็ได้ค่ะ
Blue pond: ขึ้นรถบัสจากสถานี Biei จากสถานี Biei ขึ้นบัสที่หน้าสถานี นั่งมาลงที่สถานี Shirogane Aoiike Iriguchiและเดินเข้าไปอีกประมาณ 5-10 นาที จะถึงจุดชมบ่อน้ำสีฟ้า หรือ นั่งรถบัส Dohoku Bus Biei – Shirogane จากสถานี Biei มาลงที่ป้าย Blue Pond Entrance ใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วเดินต่อมายังบ่อน้ำอีกประมาณ 7-8 นาที
ราคา 600 เยน
Shirohige Falls: นั่งรถบัส Dohoku Bus มาลงสถานี Shirogane Onsen

หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งรถไฟกลับเข้าไปยังตัวเมือง Asahikawa เพื่อทานอาหารเที่ยง และทานราเมงร้าน Santouka ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีเลย อร่อยฟิน (เสิร์ชมาแล้วว่าร้านนี้เด็ดค่ะ)

หลังจากหนังท้องตึง หนังตายังไม่หย่อนต้องรีบเที่ยวก่อน ก็ให้กลับไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาในโรงแรมแล้วนั่งรถเมล์ต่อไปยังสวนสัตว์ Asahiyama Zoo
Asahiyama Zoo
ตอนแรกก็แอบไม่อิน เพราะเข้าสวนสัตว์ส่องสัตว์มาหลายที่ แต่มาตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าที่นี่เป็นสวนสัตว์ชื่อดังของฮอกไกโดและของญี่ปุ่นเลย จัดเลย์เอาท์ไว้อย่างดีทำให้แม้น้องสัตว์จะอยู่ในกรง แต่เราก็ยังเห็นเหมือนเค้าไม่ได้อยู่ในกรง ได้เห็นมุมต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญ ตัวสวนสัตว์ไม่ใหญ่มาก เดินได้เรื่อย ๆ เลยค่ะ
วิธีเดินทาง นั่งรถบัสจากสถานี Asahikawa ป้ายเบอร์ 6 เลือกนั่งสาย 41,42,47 ได้เลย รถบัสจะมาชั่วโมงละ 2 คัน ค่าโดยสาร 440 เยน เมื่อขึ้นรถไปก็หยิบบัตรสีขาวจากเครื่องและจ่ายตอนลง ใช้เวลาเดินทาง 40 นาที จริง ๆ จะเรียกแทกซี่ก็ได้นะคะ แต่อยากให้ผู้ใหญ่ได้ชมวิว ได้บรรยากาศ
ค่าเข้า: 820 เยน


มาพูดถึงสวนสัตว์กันบ้าง เข้าไปแล้วโอ้โห ผิดคาด สนุกไปหมด ไฮไลต์ดัง ๆ ของเค้าคือ “เพนกวินในอุโมงค์แก้ว” ที่จะให้เราเห็นเพนกวินว่ายน้ำใต้น้ำไปมาและ “โดมแก้ว” ที่เราจะโผล่หน้าขึ้นไปส่องหมีได้ชัด ๆ



ตอนเราไปก็เย็นแล้ว หมีเริ่มเหนื่อยอยากเข้ากรง วิ่งวนไปมาน่าสงสาร


ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าเค้าออกแบบอย่างดี ทำให้เราเหมือนเห็นชีวิตสัตว์อย่างใกล้ชิด
ที่ชอบอีกอย่างคือแมวน้ำว่ายโฉบเฉี่ยวฉวัดเฉวียนในท่อแก้ว พวกนางโชว์ตัวบ่อยมาก

ยังมีกลุ่มสิงสาราสัตว์อีกมาก เช่น แพนด้าแดง หมาป่า นกฮูก และลิง! ชอบลิงมาก อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ นั่งไซ้เห็บหาเหาให้กันอย่างสนิทสนม น่ารักมาก



เนื่องจากช่วงที่เราไปเริ่มเย็นแล้ว เดิน ๆ ไปพักใหญ่สวนสัตว์ก็กำลังจะปิดตอน 18.00 ที่นี่เค้าก็เริ่มเปิดเพลงบรรเลง (เพลงสามัคคีชุมนุม) เป็นทำนองช้า ๆ เพื่อกล่อมสัตว์ให้ง่วง (คนก็เลยพลอยง่วงตามไปด้วย) เรียกได้ว่าเราออกจากสวนสัตว์ตอนเค้าปิดเลยค่ะ จากนั้นก็มารอรถบัสกลับเข้าตัวเมือง

ขากลับนี้ผู้ใหญ่สี่ท่านอยากไปเดินช้อปปิ้งที่ห้างอิออนตรงสถานี ส่วนเราก็แอบเหนื่อยหน่อย ๆ เลยแยกตัวไปทานร้าน Izakaya ตรงถนนคนเดิน ใกล้โรงแรมมาก ที่นี่ดี ใกล้ไปหมด ทั้งสถานี โรงแรม ห้าง ร้านอาหาร ถนนคนเดิน รีบกินรีบกลับพักผ่อน แช่ออนเซ็น ส่วนผู้ใหญ่ก็ช้อปยาวไป
Day4: Sapporo – Niki – Otaru
เดินทางกลับซัปโปโรแต่เช้าตรู่ ใช้ JR วันที่ 2 ค่ะ

เอาของไปเก็บที่โรงแรม Hotel WBF Sapporo Northgate ที่เราฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ โรงแรมอยู่ติดสถานีรถไฟก็เลยสะดวกมาก

แวะซื้อเสบียงที่สถานี Sapporo เพลินชอบหอยเชลล์กับปลาหมึกอบกรอบเจ้านี้มากๆ ค่ะ มันเหมือนข้าวเกรียบ หวานๆ เค็มๆ มันๆ อร่อยมากกกกกกก

จากนั้นก็นั่งรถไฟไปลงสถานี JR Niki ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เราจะไปเก็บเชอรี่กันที่นี่ค่ะ จากนั้นค่อยไปเดินเล่นชมคลองโอตารุเพราะอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
พูดถึงสวนเชอรี่ ฮอกไกโดมีหลายสวนเลย เราเลือกสวนนี้เพราะอยู่ในทางผ่านและนั่งรถไฟไปได้สะดวก (ตามประสาคนไม่ได้ขับรถ)
Sakuraanbo Yama (Cherry Mountain Farm)
พอถึงสถานี Niki ก็จะตกใจในความเล็ก และดูชนบทกันดารแบบไม่มีอะไรเลย โล่ง ๆ เหงาๆ

เราก็ต้องโทรให้ที่ฟาร์มส่งรถมารับ ใช้ตู้โทรศัพท์หน้าสถานีโทร โดยจะมีคอนแทคของฟาร์มอยู่ สักไม่เกินสิบนาทีคุณลุงของฟาร์มก็ขับรถมารับ นั่งไปฟาร์มราว 10-15 นาที
มีความเข้าป่ามาพอสมควร ด้านหน้าเป็นป้ายบอกว่าเรามาถึงแล้ว ทำแบบน่ารักบ้าน ๆ เรียบง่ายดี

สวนเชอรี่ที่ี่นี่เป็นเนินและหุบเขากินพื้นที่กว้างพอสมควร เราก็จัดการจ่ายเงินค่าเข้าให้เรียบร้อย 1300 เยน เก็บกลับได้ 100 กรัม (เกินจากนั้นคิดเพิ่ม) จากนั้นก็ต้องฝากกระเป๋าไว้ที่พนักงานด้านหน้า เอาเข้าไปได้แต่ของมีค่าอย่างกระเป๋าตังค์ พาสปอร์ต เพราะเค้ากลัวนักท่องเที่ยวแอบโกยเชอรี่ใส่กระเป๋า (คงมีคนทำมาแล้ว) แจกถังคนละใบ แล้วก็พาขึ้นรถแทรกเตอร์ขึ้นเขา ข้ามไปหลายเนิน หัวสั่นหัวคลอน ขึ้นมาสูงเหมือนกันค่ะ
ลุงแกจะปล่อยให้เก็บเชอรี่เกือบชั่วโมงแล้วจะกลับมารับ


ได้เวลาสนุก เก็บเชอรี่จากต้นกันสนุกสนาน แต่ละต้นรสชาติไม่เหมือนกันเลย แม้แต่ต้นเดียวกันก็ไม่เหมือน บางลูกก็เปรี้ยว หวาน สนุกมาก ๆ







พอหนำใจแล้วก็นั่งรถพ่วงกลับลงมาด้านล่าง รับกระเป๋าคืน ผู้ใหญ่ก็จัดการแพ็คเชอรี่ต่อ จากนั้นพอถึงเวลา ลุงก็พาเราขึ้นรถตู้กลับไปส่งที่สถานี พวกเราก็นั่งต่อไปลง Otaru
Otaru Canal
พูดถึงฮอกไกโด เชื่อว่าอย่างแรกที่คนนึกถึงคือคลองโอตารุที่ไหลผ่านกลางเมือง พูดง่าย ๆ คือเป็นไฮไลต์เลย เดิมที่คลองนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1923 จากการถมทะเลเพื่อใช้สำหรับเทียบเรือและเป็นเส้นทางการขนถ่ายสินค้ามาเก็บไว้ที่โกดัง เพราะเมื่อก่อนเรือใหญ่เข้าไม่ได้ต้องขนถ่ายสินค้าใส่เรือเล็กเลียบคลองนี้ไป แต่ตอนหลังเลิกใช้และถมคลองครึ่งหนึ่งเพื่อทำทางหลวง อีกครั้งหนึ่งที่เป็นโกดังก็เลยถูกปรับเปลี่ยนดัดแปลงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของ

เรามาถึงคลองโอตารุก็เย็นแล้ว นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นเหมือนกลางวัน แดดก็ร่มลงไปมาก เดินเลียบชมบรรยากาศริมคลองได้สบาย ๆ มีคนมานั่งวาดภาพเหมือนริมน้ำด้วย ผู้ใหญ่หลายท่านที่มาด้วยกันก็ถ่ายรูปสนุกสนาน เบิกบานยิ่งกว่าตอนเก็บเชอรี่ซะอีก





พ้นจากคลองเราก็เดินเลียบกันไปเรื่อย ๆ ตามย่านร้านรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะร้านขายขนมและเบเกอรี่ Le Tao ที่มีชีสเค้ก และสารพัดชีสอร่อย ๆ เราไปโดนไอติมชีสมา อื้อหือออ ฟินมากกกก คืออ้วนมากแต่ก็ต้องยอม! แล้วยังมีโดนัทแกงกะหรี่กุ้งอีก อร่อยเว่อร์


จริง ๆ อยากพาผู้ใหญ่ไปดูกล่องดนตรี เพราะเคยมาแล้วชอบมาก แต่ไปถึงช้าไปหน่อยเค้าปิดแล้ว ก็เลยให้เดินต่อไปถึงหอนาฬิกาไอน้ำ (Otaru Steam Clock Tower) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของโอตารุ ซึ่งเป็นนาฬิกาไอน้ำที่ยังสามารถทำงานได้ดี ถือเป็น 1 ใน 2 เรือนที่เหลืออยู่บนโลกอีกด้วย ทุก 15 นาทีนาฬิกาจะส่งเสียงออกมา ซึ่งพอดีกับที่เราไปถึงเลย


ถึงตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว พวกเราเดินต่อไปจนถึงสถานี Otaru-Minami จะได้ไม่ต้องเดินย้อน กลับมาถึงสถานี Sapporo ก็เข้าห้าง Esta ตรงตึกนั้นเลย แยกย้ายกันหาร้านทานเพราะผู้ใหญ่ไม่ทานปลาดิบและอยากช้อปปิ้งมาก ส่วนเรา ร่างกายต้องการซูชิค่ะ
ชื่อร้าน Shikisaitei


คืนนี้เก็บกระเป๋าไปค้างฮาโกดาเตะ 2 คืน
Day5: Sapporo – Makomanai Takino Cemetery – Hakodate
อีกสองวันนี้เราจะไปค้างที่ฮาโกดาเตะกันค่ะ เราใช้บริการส่งกระเป๋าใหญ่ไปโรงแรมในชิโตเสะที่เราจะกลับมาพักคืนสุดท้าย และฝากกระเป๋าเล็กที่จะไปฮาโกดาเตะไว้ที่โรงแรมนี้ก่อนเพราะเราจะไปไหว้พระใหญ่ในทุ่งลาเวนเดอร์ (อยู่ในเขตซัปโปโร) กันก่อน โดยนั่งรถไปลงที่สถานี Makomanai จากนั้นนั่งรถบัสต่อมาที่พระใหญ่ โดยรถมีแบบฟรีและไม่ฟรี นั่งไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงค่ะ

ลงจากรถปุ๊บ สิ่งแรกที่กระแทกสายตาไม่ใช่พระใหญ่ในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่เป็นรูปปั้นหินโมไอ (Moai) รูปปั้นหินแกะสลักจากหินก้อนเดียวอันเลื่องลือของเกาะอีสเตอร์ ที่ชิลี ก็มีให้เห็นในฮอกไกโด ต้อนรับเป็นแถวเรียงราย

Makomanai Takino Cemetery
ส่วนใหญ่เรามักจะคุ้นเคยกับพระใหญ่ไดบุตสึที่คามาคุระ แต่จริง ๆ ฮอกไกโดก็มีไดบุตสึเหมือนกัน แถมตั้งอยู่ในสุสาน โอบล้อมด้วยทุ่งลาเวนเดอร์อีกต่างหาก ชื่อ Atama Daibutsu
แต่เดิม พระใหญ่องค์นี้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางทุ่งหญ้าอยู่เป็นเวลานาน ต่อมาจึงได้ริเริ่มปรับปรุงให้สวยงาม เหมาะกับการสงบจิตสำรวมไปพร้อมกัน โดยได้ทะดะโอะ อันโดะ สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงในการออกแบบอย่างเรียบง่าย กลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาออกแบบที่ี่นี่

ตั้งแต่มาถึงก็ต้องร้องว้าว เพราะจะเห็นเนินลาเวนเดอร์ล้อมรอบและเห็นเศียรพระโผล่ขึ้นมาลิบ ๆ เราต้องเดินไปตามทางที่เขาทำไว้ให้ (มาเดินลัดทุ่งลาเวนเดอร์ไปไม่ได้นะคะ)


ตรงทางเข้าจะมีสระน้ำเล็ก ๆ ตักน้ำชำระล้างมือให้สะอาด

ก่อนจะเดินผ่านสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว หรือ Water Garden

ผ่านอุโมงค์ทอดยาวราว 400 ม. แล้วถึงจะค่อย ๆ เห็นองค์พระปรากฏขึ้นต่อสายตาทีละน้อย ๆ จนเห็นเต็มองค์

ดูทั้งขลัง สงบ และยิ่งใหญ่อยู่ใต้ช่องคล้ายโดมแต่ไม่มีหลังคา ให้แสงธรรมชาติจากข้างบนสาดส่องลงมาพอดี

ด้านข้างมีให้จุดเทียนเขียนชื่อขอพรและหยอดเงินทำบุญบริจาคด้วย
เรากับพวกผู้ใหญ่ใช้เวลาตรงนี้อยู่พักใหญ่เพราะอยากสวดมนต์ สงบจิตนาน ๆ บรรยากาศมันได้ค่ะ
พอกลับกันออกมาก็แวะเดินเที่ยวรอบ ๆ ที่นี่จะมีสโตนเฮนจ์และรูปปั้นหินสลักโมไอ

แล้วก็นั่งรถกลับสถานี แวะไปเอากระเป๋าเล็กที่โรงแรมและซื้อเสบียงอาหารในห้างไปทานบนรถไฟไปฮาโกดาเตะ เพราะต้องนั่งยาวสามชั่วโมงกว่าเลย
Hakodate
ฮาโกดาเตะเป็นเมืองท่าทางตอนใต้ และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของฮอกไกโด อดีตเป็นเมืองหน้าด่านที่ติดต่อกับต่างประเทศ มีความสำคัญและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง อากาศก็กำลังดีค่ะ ที่สำคัญ อาหารทะเลอร่อยมากๆๆๆๆ
เรามาถึงฮาโกดาเตะก็เย็นแล้ว เดินสิบนาทีก็ถึงโรงแรม Super Hotel เป็นโรงแรมกึ่งโฮสเทลขนาดเล็กกะทัดรัด ห้องจิ๋วแบบแทบไม่มีที่เดินและที่วางกระเป๋ากันเลย นอนห้องละ 3 คน มีเตียงสองชั้น ชั้นบนเป็นเตียงเล็ก
ห้องไม่มีคีย์การ์ด แต่ใช้รหัสเปิดเอา ก็สะดวกดีค่ะ (ตอนเช็กอินจะได้รหัสมา) และก่อนขึ้นลิฟต์ก็อย่าลืมหยิบหมอนไปด้วยนะคะ

วางของอะไรเรียบร้อยเราก็ไปเดินเล่นบรรยากาศท่าเรือยามเย็นที่ Port of Hakodate จากโรงแรมเดินมาจะว่าไกลก็ไกล แต่ตอนนั้นอากาศดีก็เดินได้เรื่อย ๆ 15 นาทีก็ถึงค่ะ

ค่อย ๆ มืดลงช้า ๆ

หลังจากนั้นเราก็แวะทานอาหารทะเลปิ้งย่างกันที่ร้าน Yamatosuisan (น่าจะชื่อนี้นะคะ) คนที่ีนี่บอกว่าอร่อย หน้าร้านสีส้มอยู่ติดท่าเรือเลยค่า ฟินมาก อร่อยจริง ๆ โดยเฉพาะหอยอบชีส ปลาหมึกทอด



ข้าง ๆ โรงแรมมีซูเปอร์และร้านซูรูฮะขนาดใหญ่ให้ช้อปปิ้งก่อนเข้าโรงแรมอีกด้วยนะ ขาดเหลือของใช้อะไรก็ยังแวะซื้อได้
การเดินทางใน Hakodate
แบ่งเป็น 2 แบบคือรถราง (แทรม) กับรถบัส แต่กลุ่มเราใช้รถแทรมเป็นหลัก โดยซื้อเป็น Tram One-Day Pass ราคา 600 เยน (ซื้อที่สถานี JR Hakodate ได้เลย) และเลือกใช้ในวันถัดไปที่จะเดินทางเที่ยวหลายที่เต็มวัน ส่วนวันนี้เรามาถึงตอนเย็นแล้วไม่ได้ไปไหนก็ใช้วิธีเดินเอาเพราะอยู่ในระยะเดินได้
รถรางเมืองนี้แบ่งเป็น 2 สาย คือสีน้ำเงินและสีแดง
Day6: Asaichi Morning Market – Goryokaku Tower ดูป้อมปราการดาวห้าแฉก – Lucky Pierrot – Kanemori – Mt. Hakodate
เช้าตรู่ต้องไปเดินตลาดปลา Asachi แต่เราเหนื่อยมากเลยขอสกิป ให้อีกหนุ่มพาผู้ใหญ่ไปเดินเก็บบรรยากาศมาฝากแทน เค้าบอกว่าอลังการงานสร้าง นั่งสั่งหอย สั่งปูกินสำราญเลยค่ะ ราคาก็ถูกมากด้วย
แล้วนางก็อวดรูปมาดังนี้จ้า

วันนี้เดินทางเยอะนิดนึงก็เลยใช้บัตรแทรมแบบ 1-day pass


เริ่มจากไปเที่ยวป้อมปราการดาวห้าแฉก ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของฮาโกดาเตะเลย
นั่งรถรางมาลงสถานี Goryokaku-koen-mae เดินต่ออีก 7-10 นาทีก็จะถึง
Goryokaku Tower

เป็นหอคอยสูง 170 ม.ด้านบนเป็นรูปห้าเหลี่ยม เป็นจุดชมวิวเมืองฮาโกดาเตะที่สามารถเดินดูได้ 360 องศา และเป็นจุดชมวิว “ป้อมดาวห้าแฉก” (Goryokaku fort) สามาถเดินดูได้ทั้ง 2 ชั้น เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1964 เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองปราสาทโกเรียวคาคุครบรอบ 100 ปี เดิมปีความสูง 60 เมตร ต่อมาได้มีการพัฒนาหอคอยและเปิดบริการในปี 2006
ค่าเข้าชม: 900 เยน

ขอแอบแถมประวัติปราสาทโกเรียวคาคุสักนิด จะได้อินเหมือนกัน ^^
ต้นกำเนิดปราสาทโกเรียวคาคุ
สมัยเอโดะ ช่วงปี 1603-1868 เมื่อโตกูกาวะบาคุฟุ ผู้ปกครองญี่ปุ่นดำเนินนโยบายการปกครองแบบปิดประเทศ ห้ามการติดต่อระหว่างญี่ปุ่นกับต่างประเทศ ยกเว้น ฮอลแลนด์ จีน ต่อมาประเทศอื่นพยายามบีบให้เปิดประเทศ ปี 1854 ก็เลยจำต้องเปิด และลงนามสนธิสัญญามิตรภาพกับอเมริกา รัสเซีย และเปิดเมืองฮาโกดาเตะที่เป็นเมืองท่าเรือให้เป็นเมืองท่าติดต่อกับต่างประเทศ
ต่อมาข้าราชการผู้ใหญ่กลุ่มนึง เรียกว่าคณะกรมการฮาโกดาเตะไปฮอกไกโดเพื่อเจรจากับประเทศต่าง ๆ ในการป้องการชายฝั่งทะเลและวางระบบการปกครอง คณะนี้ได้เลือกสรรหาทำเลที่ห่างไกลและเหมาะสมกับการป้องกันตัวเมือง เพื่อสร้างป้อมกราการป้องกันและสร้างที่ทำการ โดยมอบหมายให้นายไกอิซาุโร ทาเกะดะ เป็นผู้ออกแบบ นายทาเกะดะได้ค้นคว้ารูปแบบปราสาทและป้อมปราการแบบยุโรป จึงออกมาเป็นรูปดาว เลียนแบบปราสาทในยุโรป โดยสร้างปืนและปืนใหญ่รอบ ๆ ป้องกันเมือง ก่อสร้างใช้เวลา 2 ปี จึงเสร็จในปี 1864 เรียกว่า “โกเรียวคาคุ” ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางทางการเมือง การต่างประเทศ และการป้องกันของญี่ปุ่นในภาคเหนือด้วย
** ที่เราชอบคือมองลงไปจะเห็นเป็นสวนรูปดาวชัดเจน เรามาหน้าร้อนก็จะได้บรรยากาศแดดอุ่น ต้นไม้เขียวขจี ดอกไม้บานสวย มาฤดูอื่นคงสวยแปลกตาไปอีกแบบเหมือนกัน



แนะนำ: จากนั้นก็ลงมาด้านล่าง เล็งร้านมัทฉะฝั่งตรงข้ามไว้ ไอติมมัทฉะอร่อยเว่อร์อย่าลืมไปลองกันนะคะ ร้าน Japanese Matcha Sweets


เสร็จจากป้อมปราการดาวห้าแฉก ก็ได้เวลามื้อเที่ยงที่รอคอยคือ Lucky Pierrot Burger นั่นเอง เราจะไปทานที่สาขาตรงท่าเรือค่ะ
Lucky Pierrot Burger
เบอร์เกอร์เจ้าดังที่มีสาขาเฉพาะในฮาโกดาเตะเท่านั้น มีหลายสาขา แต่เราเลือกทานตรงสาขาท่าเรือใกล้โกดังอิฐแดง ตัวร้านเห็นชัดเจนด้วยสีเขียวเหลืองสดใสและตัวมาสค็อตเด่นมาก ภายในร้านแต่งสีสดใส ฉูดฉาด มีมุมให้ถ่ายรูปหลากหลายเลย



เมนูดังของที่นี่คือเบอร์เกอร์ไก่ทอด นอกจากนี้ก็มีข้าวแกงกะหรี่ เฟรนช์ฟราย ด้วยความที่จานใหญ่ก็เลยสั่งมาแบ่งกันค่ะ เพลินชอบข้าวแกงกะหรี่อร่อยมากๆ

กินอิ่มแล้วเราก็จะไปเดินเล่นที่เนินฮาจิมันซากะ (Hachiman-zaka Slope) แต่ผู้ใหญ่อีกสี่ท่านอยากไปเดินช้อปในโกดังอิฐแดงก่อนก็เลยแยกกันค่ะ เดินไม่ไกลก็ถึงเนินที่ว่าแล้ว
Hachiman-zaka Slope
ญี่ปุ่นเค้าเข้าใจหาจุดเด่นให้สถานที่จนทำให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังได้ อย่างเนินฮาจิมันซากะนี่ก็ได้รับยกย่องว่าเป็น “เนินที่น่าเที่ยวที่สุดในญี่ปุ่น” ในช่วงฤดูหนาวจะมีการประดับไฟสวยงามโรแมนติก แต่เรามาในหน้าร้อนก็ได้บรรยากาศเขียว ๆ สวยไปอีกแบบค่ะ แต่เอาเข้าจริงก็เหมือนเป็นถนนเนินธรรมดา ขึ้นไปสูงหน่อยจะเห็นวิวเมืองฮาโกดาเตะลงมา ถ้ามากลางคืนหรือหน้าหนาวอาจจะเห็นไฟข้างทางและไฟจากท่าเรือเมืองสวยก็ได้ เรามากลางวันก็เลยเฉย ๆ
แนะนำว่าถ่ายรูปตรงนี้ต้องระวังนะคะ เพราะรถแล่นไปมาตามปกติค่ะ

จากนั้นก็กลับมาเดินเล่นที่โกดังอิฐแดง ส่วนตัวเราไม่ได้อยากช้อปอะไรมาก อยากเดินกินบรรยากาศ แต่ผู้ใหญ่ที่เหลือขาช้อปจริง ๆ ก็ต้องให้เวลาเค้าไป
Kanemori Red Brick Warehouse (โกดังอิฐแดง)
เราอาจคุ้นเคยกับโกดังอิฐแดงในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ให้ถ่ายรูปสวย ๆ ข้างในเป็นแหล่งชอปปิ้งต่าง ๆ จริง ๆ แล้วโกดังแห่งนี้มีความเป็นมาที่น่าสนใจเพราะเป็นสัญลักษณ์การเริ่มต้นเป็นเมืองท่าในยุคที่การขนส่งทางทะเลเฟื่องฟู

ปี 1859 ฮาโกดาเตะได้เปิดเป็นท่าเรือสำหรับการค้าระหว่างประเทศเป็นแห่งแรกของญี่ปุ่น คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในฮอกไกโดผ่านฮาโกดาเตะพร้อมกับสร้างท่าเรือและโกดังอิฐแดงคาเนโมริ เลยถือได้ว่าโกดังอิฐแดงนี่สะท้อนประวัติศาสตร์ยุคเริ่มต้นของเมืองท่าฮาโกดาเตะเลย
ปัจจุบันใช้เป็นร้านค้า แหล่งชอปปิ้ง และกลายเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของฮาโกดาเตะ
ส่วนตัวเราเดินดูของข้างในแล้วก็ไม่ค่อยโดน เพราะไม่มีของอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ญี่ปุ่น แต่เหมือนของจากสำเพ็งมากกว่า
ก็เลยนั่งทานไอติมฟักทองในคาเฟ่ข้างในนั้นแทน แล้วก็ออกมาเดินกินลมชมวิวด้านนอกแทนค่ะ

แดดร่มลมตกก็ได้เวลาขึ้นภูเขาฮาโกดาเตะไปชมวิวเมืองกันแล้ว
ผู้ใหญ่เริ่มโอดโอยเพราะเดินเมื่อย เราก็เลยเรียกแทกซี่ตรงหน้าโกดังอิฐแดงให้ไปส่งด้านบนซะเลย
Mt. Hakodate
ที่นี่เป็นไฮไลต์หนึ่งในฮาโกดาเตะที่ต้องมาเลย เพราะเป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยที่สุด พอถึงแล้วเราก็ไปซื้อบัตรเข้าชม ราคาค่าตั๋วไป-กลับ 1,280¥


พอขึ้นมาถึงแล้วก็ดีใจที่ขึ้นมา จากที่ตอนแรกเริ่มเหนื่อย เพราะวิวสวยสุดใจ อากาศก็เย็นสบาย ลมแรงก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ แต่สดชื่นมากจริง ๆ เห็นวิวเมืองทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ช่วงที่แนะนำคือก่อนพระอาทิตย์ตกเพราะเราจะได้วิวตอนที่ฟ้ายังสว่างและแสงอาทิตย์ที่สลัวลง

สักพักเริ่มตกเย็น คนก็เริ่มหนาตาขึ้นเพราะจะมารอฟ้ามืดให้เห็นแสงระยิบระยับจากตัวเมือง แต่พอดีฝนเริ่มทำท่าจะตก และอากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆ หมอกลงหนา พวกเราก็เลยตัดสินใจกลับกันก่อน โดยเดินลงมาและนั่งรถรางกลับบริเวณที่พัก
เย็นวันนั้นแยกกันทาน เราทานร้านอิซากายะใกล้โรงแรม พวกผู้ใหญ่อยากทานข้าวหน้าปลาไหล
Day 7: Noboribetsu – Jigokudani – Chitose
วันนี้อำลาฮาโกดาเตะแล้ว เราก็ซื้ออาหารง่าย ๆ ไปทานเป็นเสบียงกลางวัน นั่งรถไฟมุ่งหน้าสู่เมือง Noboribetsu เพื่อจะไปหุบเขานรก (Hell Valley) Jigkudaniเพราะอยู่ในเส้นทางขากลับเข้า Chitose ของพวกเราพอดี

พอถึงสถานี Noboribetsu เราก็ฝากกระเป๋าเดินทางของเราไว้ที่สถานีได้ มีล็อคเกอร์ แต่ลอคเกอร์เต็มก็ฝากไว้ในห้องเก็บได้ คิดชิ้นละ 700 เยน แต่พวกเรามากันเยอะ เค้าเลยคิดชิ้นละ 500 เยน แต่นับหมดนะคะ ถุงชอปปิ้งก็นับเป็น 1 ชิ้น โหดเหมือนกันค่ะ
จากนั้นนั่งรถเมล์ป้ายที่เขียนว่าไป Noboribetsu Onsen และจ่ายเงินตอนลงจากรถ นั่งไป 15 นาทีก็ถึง และต้องเดินต่อขึ้นไปอีกหน่อย
Jigokudani (หุบเขานรก)
อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Shikotsutoya ที่เรียกว่าหุบเขานรกเพราะมีทั้งบ่อโคลน บ่อน้ำร้อนเดือดตามธรรมชาติกระจายไปทั่วเหมือนกระทะทองแดงที่มีควันร้อน ๆ ตลอดเวลา (เข้าใจเปรียบมาก) และถือเป็นแหล่งกำเนิดน้ำแร่และออนเซนที่มีชื่อเสียงที่สุดบนเกาะฮอกไกโด
ทางเข้าหุบเขาจะมีสัญลักษณ์เป็นยักษ์สีแดงตัวใหญ่ ถือว่าเป็นยักษ์ดีคุ้มภัยให้ผู้มาเยือน เราเลยจะเห็นยักษ์นี่ทุกที่ในบริเวณเลยทั้งร้านขายของ ห้องน้ำ

แถวนี้มีโรงแรมขึ้นมากเพราะใกล้กับบ่อน้ำแร่ธรรมชาติ ทำให้โรงแรมมีออนเซนให้บริการนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปี เมื่อเข้าใกล้หุบเขาเราจะเห็น (และได้กลิ่น) ไอกำมะถันพวยพุ่งตลอดเวลา

ถ่ายกับป้ายเป็นที่ระลึกตามธรรมเนียม

เราก็ค่อย ๆ เดินลัดเลาะลงไปทีละน้อย ผ่านสะพานที่ผ่าใจกลางหุบเขา ตกอยู่ใต้วงล้อมของควัน



เราใช้เวลาที่นี่พักใหญ่ ก็เดินทางกลับ นั่งรถไฟไปลงสถานี Chitose ไปเก็บของในโรงแรม ชื่อ Route Inn อยู่ติดสถานีเลย (เดิน 3 นาที)
กระเป๋าใหญ่ที่เราส่งมาจากโรงแรมในซัปโปโรก็มาถึงพอดีค่ะ
พวกผู้ใหญ่ขาช้อปอยากจะไป Outlet ก็เลยนั่งรถย้อนไป 1 สถานี ลงสถานี Minami-Chitose ไปช้อปกันที่ Rera Outlet Mall ส่วนเราอยากเดินเล่นชิล ๆ แถวโรงแรม ก็เลยเข้าห้างอิออนใกล้สถานี หาข้าวเย็น หาไรทานแถวนั้นแทน พอดีเพื่อนบินมาพอดี (เพื่อนเป็นแอร์) ก็เลยนัดกันเม้ามอยไป
ทำเลที่เลือกอยู่จะติดสถานีรถไฟ ติดห้าง ติดร้านสะดวกซื้อหมดเลยค่ะ
Day 8 : Sapporo – ทำเนียบอิฐแดง – Sapporo TV Tower – Horomitoge Lavender Garden
วันนี้วันสุดท้ายแล้วก็เลยมาเก็บตกที่เที่ยวทั้งหมดในซัปโปโร ทั้ง Sapporo TV Tower สวนโอโดริ ทำเนียบตึกแดงที่เป็นศาลาว่าการเก่า สวนโอโดริ และทุ่งลาเวนเดอร์ (ซัปโปโรก็มีทุ่งลาเวนเดอร์นะค้า)
เริ่มจากทำเนียบตึกแดง (ทำเนียบอิฐแดง) ศาลาว่าการเก่า สีแดงหม่นสวยด้วยสถาปัตยกรรมนีโอ-บาโร้คแบบอเมริกาในปี 1888 รอบ ๆ เป็นสวนสวยร่มรื่น


วันนี้แดดออกเยอะกว่าทุกวันเลยค่ะ เราก็ค่อย ๆ ใช้เวลาเดินตรงนี้สักพักจนเริ่มแสบผิวเลยข้ามถนนไปเข้าอาคาร หาเบเกอรี่อร่อย ๆ ทานร้าน Boulangerie Curon อร่อยมากๆ ๆๆๆ โดยเฉพาะขนมปังไข่ปลา รสชาติเหมือนคาร์เวียร์มาก แต่ดูแล้วไม่น่าใช่ ยังไงก็ตาม อร่อยมาก

จากนั้นก็เดินต่อไปยังหอนาฬิกา (ขออภัยรูปเบี้ยวได้อีก เริ่มเบลอแล้ว)

และตรงไปยังหอ Sapporo Tv Tower แลนด์มาร์คอีกแห่งของซัปโปโร อยู่กลางสวนโอโดริ ขึ้นไปชมได้ เราเห็นมีจุดโดดบันจี้จัมพ์ลงมาด้วยค่ะ

เราเริ่มหิวแล้วแต่ผู้ใหญ่อยากช้อป ก็เลยต้องเจรจาพาไปทานข้าวในห้างก่อนค่อยปล่อยไปช้อป จากนั้นช่วงบ่ายเลยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มช้อปในห้างตรงสถานี และกลุ่มที่จะไปทุ่งลาเวนเดอร์ เราไม่ค่อยสนช้อปมาก อยากไปวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์มากกว่า (โลกสวย)
Horomitoge Lavender Garden ชมทุ่งลาเวนเดอร์ชมวิวเมืองซัปโปโร
ถึงฟูราโนจะขึ้นชื่อเรื่องดอกลาเวนเดอร์ แต่ต้นกำเนิดลาเวนเดอร์ในญี่ปุ่นอยู่ที่ซัปโปโรนี่เอง ในปี 1937 ได้มีการทดลองนำเข้าเมล็ดลาเวนเดอร์จากฝรั่งเศสและพบว่าตอนใต้ซัปโปโรปลูกได้ดี จึงเริ่มเพาะปลูกจริงจังเป็นต้นมา
สวนนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง หน้าร้อนเราก็จะได้เห็นลาเวนเดอร์กว่า 5,000 ต้นบานสะพรั่งบนเนินเข้า ล้อมด้วยฉากหลังเป็นเมืองซัปโปโร
วิธีเดินทาง: จากสถานีซัปโปโร นั่งไปลงสถานีโอโดริ (Odori Station) จากที่สถานีโอโดริให้ขึ้นรถไฟสาย Subway Tozai Line และลงที่สถานีมารุยามะโคเอ็น จากนั้นก็เรียกแทกซี่ต่อไปค่ะ
คนขับเป็นผู้หญิง บอกว่าขากลับไม่มีรถกลับนะ จะให้นางรอไหม ก็เลยตกลงที่ราคา 1600 เยน โดยมีค่าที่จอดรถ 500 เยน (ถือเป็นค่ารอด้วย)
จริง ๆ ขึ้นรถบัสไปได้ แต่รอนานและต้องเดินไกล แล้วก็คิดว่าตัดสินใจถูกเพราะรถต้องไต่ขึ้นเนินคดเคี้ยวอยู่พักใหญ่ ๆ ราว 15-25 นาทีกว่าจะถึง และถึงแม้จะเป็นทุ่งไม่กว้าง แต่ก็ได้ความน่ารักไปอีกแบบ ที่สำคัญมีวิวเมืองข้างล่าง ฟินสุด ๆ ดีใจที่ได้แวะมาที่นี่

คนละบรรยากาศและอารมณ์กับที่โทมิตะค่ะ


ส่วนตัวเราชอบมาก ๆ เลย

ใครมาฮอกไกโด มีเวลาน้อยแต่อยากสัมผัสทุ่งลาเวนเดอร์แนะนำที่นี่เลยนะคะ
จากนั้นเราก็รีบกลับโรงแรมไปเก็บของ เตรียมตัวไปสนามบิน New Chitose โดยเรียกแทกซี่ไปค่ะ
แล้วยังช้อปขนมกันที่สนามบินส่งท้ายอีกต่างหาก
ไฟลต์ขากลับเรา 21.45 น. เรียกได้ว่าใช้วันสุดท้ายของทริปจนคุ้มมาก ๆ
เนื่องจากเดินทางด้วยสายการบิน JAL ขากลับก็แวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮาเนดะก่อนจะบินกลับสู่สุวรรณภูมิในเช้าวันใหม่

DAY 9 : Bangkok
SUMMARY
ทริปนี้ทั้งสนุกและเหนื่อย แต่ก็ฟิน กินอร่อย ได้ชมวิวสวย และถือว่าโชคดีที่แดดไม่ร้อนเปรี้ยงเกิน อากาศยังเย็นสบายทำให้เดินได้ไม่เหนื่อยเกิน ได้ไปทั้งจุดไฮไลต์ ชมธรรมชาติ ชมวิว ขึ้นกระเช้า กินอร่อย เดินทุ่งดอกไม้ ชมเมืองครบครัน ทั้งยังช้อปแหลก (ผู้ใหญ่นี่ตัวดีเลย)
เลือกโรงแรมใกล้สถานีรถไฟเป็นหลัก
การจัดการ: มีคนหลัก 1 คนในการจัดการจองตั๋ว Hokkaido Rail Pass และออกตั๋ว ถึงเวลาเที่ยวก็แจกจ่ายให้คุณป้าคุณน้าทั้งหลายจะได้สะดวกเค้าค่ะ และรับผิดชอบเงินกองกลางในการจ่ายค่าเดินทางต่าง ๆ ส่วนค่ากินเพิ่มเติมและค่าช้อปปิ้ง ต่างคนของใครของมัน
คำแนะนำเรื่องซิมการ์ด
ปกติมาญี่ปุ่นเราใช้ซิมทรู หรือ sim2fly ของ AIS แต่วันที่เดินทางไปถึง ซิมมีปัญหา จับสัญญาณได้แต่ไม่มีเนต เราก็เลยเลือกซื้อซิมใหม่ที่สนามบิน เป็นแพคเกจ 7 วัน สามพันกว่าเยน เนตเร็วปรืดๆ เลยค่ะ
HOTEL SUMMARY
Sapporo
- Randor Resident Hotel Sapporo Suites (เป็นลักษณะอพาร์ตเมนต์ ไม่มีเซอร์วิสแบบโรงแรม) (1 คืน)
- Hotel WBF Sapporo Northgate (ติดสถานี Sapporo) 1 คืน
Asahikawa
Premier Cabin (2 คืน)
Hakodate
Super Hotel (2 คืน)
Chitose
Route Inn (1 คืน)
จองที่พักผ่าน Booking.com
สุดท้ายไม่ท้ายสุด
จบเรียบร้อยค่ะสำหรับรีวิวทริปฮอกไกโดหน้าร้อนฉบับไม่ขับรถ แถมพาผู้ใหญ่ไปตะลุยซะทั่ว น่าจะพอเป็นไอเดียให้เพื่อน ๆ ได้นะคะ
ช่วงนี้เพลินกำลังย้ายระบบเว็บบล็อก หากมีข้อสงสัย คอมเมนต์ไว้ในโพสต์ หรืออีเมลมาที่ ploenthejourney@gmail.com
จริง ๆ เพลินก็อยากขับรถเที่ยวเหมือนกัน แต่ติดที่ขับไม่เก่ง และเพื่อนร่วมทางไม่ชอบขับรถด้วยค่ะ บางทริปเพลินก็เช่ารถพร้อมคนขับสะดวกดี แต่ทริปนี้ ผู้ใหญ่ต้องการสัมผัสการเดินทาง Local จริง ๆ ก็ตามใจเค้า
หรือคุยที่เพจ https://www.facebook.com/ploenthejourney/ ไปก่อนนะคะ
Follow us:
Facebook: เที่ยวเพลิน – Ploen The Journey
Instagram: ploenthejourney