อิตาลีตอนใต้ และเก็บเมือง Unseen!
มาอิตาลีก็หลายรอบ แต่คราวนี้ไม่ได้ไปเมืองหลัก เพราะตั้งใจจะเก็บเมืองทางใต้ และเมือง Unseen อื่นๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องไปยาก ไม่ค่อยมีใครไป จึงสงบเงียบและสวยงามค่ะ
เส้นทางรูทที่เพลินไปเลยแบ่งเป็นสองส่วน ถ้าจะให้เห็นภาพลองนึกถึงแผนที่ประเทศอิตาลีที่เป็นทรงเหมือนรองเท้าบู๊ตนะคะ
Photo Credit by iStock Part1: เราจะเลาะลงใต้ผ่านหน้าแข้งด้านหน้าค่ะ เป็นกลุ่มเมืองตากอากาศชื่อดังที่พวกเราอาจคุ้นเคยกันดีอย่าง Napoli – Pompeii – Capri -Amalfi – Sorrento
Part2: จะข้ามไปฝั่งน่องด้านหลัง ไปจนถึงส้นรองเท้าบู๊ต จะเริ่มเข้าสู่หมวด Unseen ได้แก่ Castelmezzano – Matera – Castel del Monte – Alberobello – Martina Franca – Locorotondo – Lecce – Ostuni
แล้วจบท้ายที่มุ่งขึ้นเหนือสู่โรม เที่ยวโรมแล้วกลับไทยค่ะ
ทริปนีใช้เวลา 10 วันค่ะ เก็บเมืองได้ครบ เต็มอิ่มมากๆ
Caserta -Napoli – Pompeii – Capri – Amalfi – Positano – Villa Rufolo – Sorrento – Castelmezzano – Matera – Castel del Monte – Alberobello – Martina Franca – Locorotondo – Lecce – Ostuni – Roma (Villa Borghese, Musei Vaticani)
ครั้งนี้เพลินไปเที่ยวกับทัวร์ค่ะ แต่ไม่ใช่ทัวร์ธรรมดานะคะ เป็นทัวร์ที่มีหัวหน้าทัวร์เป็นอาจารย์สอนภาษาอิตาเลียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาค่ะ สมัยป.ตรี เพลินเรียนอิตาเลียน ก็เลยได้รับทราบข่าวคราวการจัดทริปของอาจารย์อยู่เรื่อยมาค่ะ
ความพิเศษของทริปนี้ คือ นอกจากจะมีอ.บุสก้าผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรมอิตาเลียนอย่างดีคอยนำทัวร์ อธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้พวกเราฟินไปตามๆ กันแล้ว ยังได้ไปเส้นทางใหม่ๆ ที่ไม่มีทัวร์ไหนจัดไป เพราะไปยาก บางที่ไม่มีขนส่งสาธารณะไปถึงเลยด้วยซ้ำ ถ้ามาเองจะไปยากมาก ก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ ไม่ไปไม่ได้แล้ว
Part 1: เมืองตอนใต้ และเมืองตากอากาศอันเปี่ยมมนต์ขลัง
Day1
เริ่มจากวันแรก เรามาถึงสนามบิน Leonardo Davinci ตอนเช้าตรู่ แล้วนั่งรถมุ่งหน้าลงใต้ เร่ิมต้นทริปกันที่แคว้น Campania ที่เมือง Napoli หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Naples นั่นเองค่ะ (ต่อไปนี้จะเห็นเพลินเรียกเนเปิ้ลส์บ้าง นโปลีบ้าง จะได้ไม่สับสนค่ะ คือเมืองเดียวกัน)
Caserta (La Reggia di Caserta)
เมื่อถึงนาโปลี เราแวะพระราชวัง Caserta (La Reggia di Caserta) ที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก่อนเลยเป็นที่แรก
🏛พระราชวัง Caserta แห่งแคว้น Campania สร้างในศตวรรษที่ 18 โดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งราชวงศ์บูร์บอง ตั้งใจให้ยิ่งใหญ่แข่งขันกับพระราชวังแวร์ซาย และพระราชวังที่สเปน ข้างในก็ใหญ่โตแต่ไม่หรูหราฟู่ฟ่าอย่างที่คิด ถึงอย่างนั้นเพลินก็ชอบนะ สวยดี จนได้รับรางวัล World Heritage ด้วยค่ะ
ถ้าใครเคยไปพระราชวังแวร์ซายมาก่อนก็จะนึกออกว่าเค้าทำให้คล้ายมาก แต่ข้างในก็ไม่ฟู่ฟ่าเหมือนแวร์ซาย จะเรียบกว่า ขรึมกว่า
ชวนให้นึกถึงเชินบรุนน์หน่อยๆ
พวกห้องนอน ห้องรับแขก ท้องพระโรงจะมีความน่ารักกระจุ๋มกระจิ่มพาสเทลแบบสวยดี ชอบบบ
พระราชวังนี้มีห้องทั้งหมด 1,200 ห้อง มีหน้าต่าง 1,790 บาน มีบันได 34 จุด ทางเดินในสวนยาว 4 กม. มีน้ำพุเป็นจุดๆ น้ำพุที่สูงที่สุดจุดสุดท้ายในนั้นคือน้ำพุวีนัส สูง 150 ม. ส่วนน้ำตกเป็นสไตล์บาโร้กที่มีทางเดินน้ำยาวถึง 36 กิโลเมตร ผ่านภุเขา 5 ลูก!
สวนจัดเป็นสวนแบบอังกฤษค่ะ สถาปนิกคือ Ventivelli ซึ่งเป็นชาว Caserta ค่ะ
ลองดูทางเดินยาวในสวนนี่เหมือนแวร์ซายมากๆ เลยค่ะ

ครูก้า หรืออ.บุสก้า พูดภาษาอิตาเลียนเก่งมาก คล่องมากจนชาวอิตาเลียนชมกันใหญ่เลยค่ะ เพลินก็เงี่ยหูฟัง แอบดูตอนอาจารย์จัดการเรื่องตั๋วเข้าชมของพวกเรา
เครื่องเรือนแต่ละชิ้นสวยงามมาก ให้เดินดูพวกห้องนอน ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่นในนี้เพลินดูได้ทั้งวันเลยนะคะ แล้วยังตกแต่งสีพาสเทลได้สวยมาก ของบ้านเรายังจับคู่สีได้ไม่สวยเท่านี้
นี่แชนเดอเลียชิ้นโปรดค่ะ รูปทรงเหมือนปลาหมึก
รูปด้านล่างนี้คือสวนที่ทำเหมือนแวร์ซายค่ะ ภาพนี้อาจจะเบลอหน่อยนะคะ มันไกล เดินไม่ไหว และร้อนมาก เลยใช้วิธีซูมเอาค่ะ อายจัง
จากพระราชวัง Caserta พวกเราก็กลับมาที่ Napoli หรือเนเปิ้ลส์
เนเปิ้ลส์เป็นเมืองหลวงของแคว้นคัมปาเนีย และเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในอิตาลีตอนใต้ เป็นแหล่งรุ่มรวยอารยธรรมในอดีต
ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น คนที่มีมีนิสัยและสำเนียงเป็นเอกลักษณ์
แล้วที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดพิซซ่าอีกด้วยนะคะ
เรามาเดินเล่นกันที่จตุรัสกลางเมือง Napoli คือ Piazza del Plebiscito เป็นจตุรัสใหญ่กลางเมือง คำว่า Piazza แปลว่าจตุรัสกลางเมืองค่ะ เหมือน Square รูปทรงโค้งเป็นครึ่งวงกลม วัยรุ่นมานั่งเล่น หรือทำกิจกรรมกันในลานนี้เต็มไปหมดค่ะ น่าจะเพราะอากาศดีด้วย เพลินมาเที่ยวเดือนเมษายน เป็นฤดูใบไม้ผลิ อากาศกำลังอุ่นสบาย ค่อนไปทางร้อนด้วยซ้ำ แดดแรงมากค่ะ
ด้านข้างเป็น Palazzo Reale หรือพระราชวังโบราณซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 16 ครั้งที่สเปนยังครองเมืองอยู่
ใกล้ๆ Piazza del Plebiscito ครูก้าผู้อารีบอกว่า ร้าน Gambrinus เป็นร้านขนมหรูหราไฮโซห้ามพลาด และมีขนมชื่อออกเสียงยากลืมว่า Sfogliatellle ที่แนะนำว่า “ต้องลอง” สโฟลิยาเตลเล เป็นขนมรูปร่างเหมือนหอย แป้งร่วนบนข้างในนิ่ม ด้านในใส่ไส้รสหวานๆ ครีมๆ อร่อยดีค่ะ ^^ ร้านสวยด้วยแหละ และขายดีคนแน่นร้านพอสมควร
ร้านขนม หรือ ร้านคาเฟ่ที่เนเปิ้ลส์ หรือนโปลีจะมีระบบการสั่งและคิดเงินต่างจากที่อื่น คือเราต้องไปสั่งและจ่ายเงินที่แคชเชียร์ก่อน แล้วเค้าจะให้ตั๋ว (ทิคเก็ต, สลิป, ใบเสร็จ อะไรก็แล้วแต่) มาเราก็ถึงจะเอาตั๋วนั้นไปสั่งขนมหรือเครื่องดื่มได้ และรอรับ
นักท่องเที่ยวอย่างเราก็ต้องเล็งๆ ไว้ก่อนแล้วถึงเดินไปสั่งแคชเชียร์
นี่คือโฉมหน้าของ Sfogliatelle (สโฟลิยาเตลเล) ค่ะ

❤️ส่วนตัวชอบทาร์ตสตรอ์เบอร์รี่มากกว่า ❤️ ขนมหวานนี่อะไรก็ชอบหมด
จากนั้นเดินเที่ยวใจกลางเมืองเนเปิ้ลส์ (นาโปลี บางทีถ้าเพลินเรียกแบบนี้ก็อย่าสับสนนะคะ เมืองเดียวกัน) เนเปิ้ลส์เป็นเมืองที่คึกคัก มีชีวิตชีวา ครูก้าเล่าว่าต้องระวังโจรขั้นสุด ทัวร์ไม่ค่อยจัดมาเมืองนี้กันเพราะมันอันตราย…
ได้มาชม Galleria Umberto ที่ทำเหมือน Galleria Vittorio Emmanuele ของมิลานเลยค่ะ เพลินชอบพื้นเพราะมีลายสวยๆ น่ารักเต็มไปหมด
พอแดดร่มลมตก พวกเราก็เดินต่อไปอีกหน่อยเพื่อชมปราสาทที่ชื่อปราสาทใหม่ (Castel Nuovo) ที่จริงๆ ไม่ใหม่เลย สร้างตั้งแต่ยุคกลางนู่น เพียงแต่ใหม่กว่าอีกปราสาท เป็นปราสาทริมทะเล มีชื่อว่า Castel dell’Ovo ที่แปลว่าปราสาทไข่ (Egg Castle) มีตำนานเล่าว่าพ่อมดชาวโรมันได้นำไข่วิเศษไปวางไว้ใต้ฐานปราสาทเพื่อปกป้องปราสาท ถ้าไข่แตกขึ้นมา จะเกิดหายนะ ภัยพิบัติกับเมืองเนเปิ้ลส์ เสียดายไม่ได้ไปเยือนปราสาทไข่นี้ เลยไม่ได้เก็บรูปมา
แต่ “ปราสาทใหม่” นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นหลังปราสาทไข่ เลยชื่อปราสาทใหม่ ตั้งตระหง่านเป็นแลนด์มาร์กสำคัญอีกแห่งของเนเปิ้ลส์ เห็นง่าย และหาง่ายมามาก อยู่ใกล้ City Hall เลยค่ะ
เจ้าปราสาทนี้สร้างสมัยยุคกลางในปี 1279 และเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์เนเปิ้ลส์ และสเปนมาก่อนด้วย
ไปถึงช้าก็เลยปิดแล้ว ได้แต่ดูข้างนอก
คืนนี้เรานอนที่เนเปิ้ลส์ค่ะ
Day 2
Pompeii
วันที่สอง เรานั่งรถไปเมืองปอมเปอีกันค่ะ เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ โดยเราต้องออกตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะถ้าไปสายจะแดดร้อนเปรี้ยงเดินลำบากค่ะ ปอมเปอียังอยู่อยู่ในแคว้นคัมปาเนีย (Campania) อากาศไม่ร้อน แต่แดดน่ะแรงมาก ดีที่พอมีลมเย็นๆ โชยมาเป็นระยะๆ
🇮🇹 ปอมเปอีเป็นเมืองที่ถูกระเบิดลาวาจาก 🌋 ภูเขาไฟวิสุเวียสถล่มกลบฝังทั้งเมืองในปีค.ศ. 79 ว่ากันว่าเถ้าถ่านที่ปกคลุมฝังทั้งเมืองนั้นสูงถึงหกเมตร ปลิดชีวิตชาวเมืองกว่า 15,000 คน ฟังแล้วเศร้าจัง ส่วนใหญ่ตายด้วยความร้อนจากลาวา แก๊ซพิษและหินที่ถล่มลงมา
ปอมเปอีถูกกลบฝังหายไปตั้งแต่ตอนนั้น
จนกระทั่งมีการขุดค้นพบเมื่อปี 1748 ชาวโลกจึงได้เห็นอารยธรรมความเจริญในอดีตกาลของปอมเปอี สมัยก่อนที่นี่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าในสมัยโบราณ
เห็นแล้วก็ทั้งทึ่งและสะท้อนใจ เมืองอันเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในอดีต มีร่องรอยสถาปัตยกรรมสวยงามและน่าทึ่ง และมีภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังดูน่าเกรงขาม จะล่มสลายในชั่วพริบตา
เพลินเคยมาตอนเด็กๆ หนนึง ได้มาอีกครั้งก็ยังทึ่งเหมือนเดิม เกิดไอเดียนิยายอีกละ (เดี๋ยวนะ งานยังงอกไม่พอหรา)
หากจะเดินกันจริงๆ ต้องใช้เวลาทั้งวันค่ะ มีหลายส่วนหลายโซนมาก แต่ด้วยความที่แดดร้อนมาก พวกเราเลยอยู่กันแค่ครึ่งเช้า
คนที่ถูกลาวากลบฝัง น่าสงสารจังเลย
นักท่องเที่ยวเพียบเลยค่ะ เพลินหารูปที่ไม่ติดฝูงชนไม่ค่อยได้
Unseen Napoli
จากนั้นเราก็ไปทานพิซซ่ากัน แล้วก็กลับเข้าตัวเมืองเนเปิ้ลส์ เพื่อตะลุยเที่ยวตัวเมือง ชมสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของคนที่นี่กัน
ครูก้าและไกด์จีโน่ผู้คล่องแคล่วเตือนให้ระวังกระเป๋าหนักมาก เพราะเข้าสู่ดงโจรที่แท้ทรู
ไฮไลต์ที่เพลินชอบที่สุดในการเดินเมืองนี้คือโบสถ์ค่ะ ชื่อ Chiesa di Gesù Nuovo โบสถ์บาโร้กที่แพรวพราว ด้านนอกก่อเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ เหมือนหนามให้ความรู้สึกโมเดิร์น แต่ข้างในบาโร้กแพรวพราวมาก

ปกติภายในโบสถ์จะมีเลย์เอาต์เป็นรูปไม้กางเขน คือมีด้านหนึ่งยาวกว่าอีกด้าน แต่โบสถ์นี้กลับเป็นรูปเครื่องหมายบวกแทนเพราะได้รับอิทธิพลแบบกรีก
สวยมากค่ะ ชอบ


ภายในมีห้องทำงานของคุณหมอ Giuseppe Moscati ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญในสมัยพระสันตะปาปา ฌอง ปอล ที่ 2
ออกจากโบสถ์ก็เดินชมนั่นนี่ไปตามทาง บ้านเมืองเค้าคึกคักมาก
ออกจากโบสถ์ เราก็เดินเล่นชมบ้านเมืองตามรายทาง จนไปถึง Unseen Napoli จริงๆ คือวิหารน้อย San Severo ที่คนต่อคิวเข้าชมยาวเหยียดมาก และจะปล่อยเข้าเป็นรอบๆ เท่านั้น ความโชคดีคือรอคิวแค่สิบนาทีเท่านั้นเพราะซื้อตั๋วมาก่อน และไกด์ท้องถิ่นเราค่อนข้างมีเส้น
ที่จริงแล้ว San Severo (Museo Cappella Sansevero) หรือ San Severo Chapel Museum เป็นเคหสถานของเศรษฐีคนหนึ่งมาก่อน ที่มีรูปสลักหินอ่อนวิจิตรงดงามมากมายในครอบครอง และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามถ่ายรูปค่ะ เค้าค่อนข้างเข้มงวดทีเดียว เพลินก็เลยไม่มีรูปสวยๆ น่าทึ่งข้างในมาฝาก
รูปสลักหินอ่อนที่ San Severo ไม่ธรรมดาเลยค่ะ เพราะไม่ได้เป็นแค่รูปปั้นคน แต่เป็นรูปสลักคนที่มีผ้าบางคลุมด้วย บางชั้นถึงขั้นเป็นแหคลุมเลยด้วยซ้ำ!
ลองนึกดูนะคะว่ามันละเอียดและต้องใช้ฝีมือขนาดไหน ที่จะสลักหินเหลี่ยมๆ ก้อนใหญ่เป็นรูปปั้นคนที่มีผ้าคลุมร่างได้!
ชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Vieled Christ ที่อยู่ใจกลางวิหาร เป็นรูปสลักพระเยซูที่มีผ้าบางคลุมห่อกายยามสิ้นใจ เนื่องจากเป็นชิ้นยอดนิยม เค้าเลยจัดกลุ่มคนที่รายล้อมรูปสลักชิ้นนี้ไม่ให้เบียดเสียดกันเกินไป วงนึงได้กี่คน และต้องเดินวนไปในทางเดียวกันให้เป็นระเบียบ
ที่สำคัญต้องเงียบ… ให้ดื่มดำกับศิลปะตรงหน้าอย่างเต็มที่
ในส่วนรูปสลัก เพลินขออนุญาตนำรูปจาก Google มานะคะ อยากให้ได้เห็นจริงๆ


ออกจาก San Severo ก็ได้เวลาหาของอร่อยทานเล่นระหว่างทาง ครูก้าแนะนำร้าน Scaturchio บอกว่าเป็นอีกหนึ่ง A Must! เพลินเป็นคนไม่ทานกาแฟ จึงได้ Cioccolata หรือ Hot Chocolate รสชาติเข้มข้นมาแทน และขนมเด็ดที่ต้องลองอีกชิ้น (นอกจาก Sfogliatelle ที่เราลองไปแล้วเมื่อวาน) คือ Baba (ออกเสียง บา บ๊ะ) เป็นเค้กเนื้อกึ่งชิฟฟ่อนรูปร่างคล้ายเห็ด ชุ่มฉ่ำด้วยรัม มีทั้งแบบที่สอดไส้ผลไม้ แยม หรือครีม
เพลินได้ลองแบบเพลน ที่เป็นเหล้ารัม ส่วนตัวไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่เพราะมันหวานเกินไป
แต่ไหนๆ มาถึงนาโปลี ก็ต้องลองทั้ง Sfogliatelle และ Baba ที่ถือเป็นขนมสัญลักษณ์ของนโปลีเลย
โฉมหน้าของ Baba (อ่านว่า บาบ๊ะ ห่อปากหน่อยๆ กึ่งๆ บ๊ะ กับ เบ๊อะ ~ ลองดูนะคะ ฮ่าๆๆ)

จากนั้นก็เดินเล่นชมความคึกคักของเมืองนโปลี สัมผัสชีวิตคนท้องถิ่นโดยเริ่มจากถนน Via Dei Tribunali
ครูก้าเล่าว่ามีการทำบุญออกเงินเลี้ยงกาแฟคนยากจนด้วย โดยจะมีการแขวนไว้ตามบ้าน เรียกว่า caffè sospeso
จะมีตรอกที่คนมาเขียนบอกรักกันเต็มไปหมด กลายเป็นจุดท่องเที่ยวอีกที่ไปเลยค่ะ มีแต่นักท่องเที่ยวอยากมาถ่ายรูป

หมดวันด้วยความรื่นรมย์และไม่มีใครโดนโจรอิตาลีล้วงกระเป๋า…
คืนนี้เรายังนอนที่เนเปิ้ลส์เหมือนเดิมค่ะ
Day3
Capri
เช้านี้เราจะมุ่งหน้าสู่เกาะตากอากาศไฮโซตั้งแต่ยุคโรมันยันยุคนี้ค่ะ… นั่นก็คือเกาะคาปรี (Isola di Capri) คาปรีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของ VIP มาโดยตลอด ไม่ว่าจะจักรพรรดิโรมัน ชนชั้นสูงในยุโรป ดาราดังในฮอลลีวู้ด จนถึงกลุ่มพวกเราในวันนี้
เราไปถึงท่าเรือเมืองนโปลีเช้าตรู่ ไปก่อนเวลาเรือออกนานพอควร ก็เรือเที่ยว 9.30 น. เรามากันตั้งแต่ 8.30 น. เรียกว่าเตรียมพร้อมเอามากๆ
พอถึงเวลาเราก็นั่งเรือ JETFOIL ไปเกาะคาปรีกันค่ะ ระหว่างทางมันก็จะหลับๆ บ้าง อะไรบ้าง เพราะง่วงมาก
ถึงเกาะคาปรีแล้วค่ะ หลากหลายสีสันเหมือนภาพวาดเลย
เพลินเคยมาคาปรีสมัยเด็กๆ กับครอบครัว จำอะไรไม่ค่อยได้ จำได้แต่ว่ามันสวย มี Blue Grotto และ Limoncello
มาคราวนี้ได้รื้อฟื้นความหลังสักหน่อย เดินชมเมือง ดูของที่ระลึก
จากนั้นต้องนั่งเรือเล็กไปสู่ถ้ำสีน้ำเงิน หรือ Blue Grotto (Grotta Azzura) ซึ่งเป็น Highlight ของเราในวันนี้
จากนั้นพอจะเข้าถ้ำแล้วเราต้องแบ่งกันลงเรือแจวน้อย ลำละ 4 คน เพราะถ้ำแคบมาก เล็กมาก
ตามรูปเลยค่ะ ต้องย้ายจากเรือเล็กแล้วสู่เรือแจวที่เล็กกว่า คลื่นก็เอาการเลยทีเดียว
ฝ่าคลื่นลมมาสักพัก ในที่สุดเราก็ถึงHighlight วันนี้แล้วค่ะคือ Blue Grotto (Grotta Azzura) หรือถ้ำสีน้ำเงินอันเกิดจากฟอสฟอรัสในน้ำสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ปกติจะแล้วแต่ดวง บางทีน้ำขึ้น ลมแรง ท่วมปากทางเข้าถ้ำก็เข้าไม่ได้ ในกลุ่มพว กเรา มีคุณพี่คนหนึ่งเล่าว่าเคยมาแล้ว และต้องรออยู่บนเรือหนาวๆ ถึงสองชั่วโมงกว่าถึงจะได้เข้า!
ซึ่งพวกเราโชคดีมากที่มาถึงวันนี้ก็สามารถเข้าถ้ำได้เลยจากนั้นก็มาถึง
เพราะอย่างที่บอกค่ะว่าการเข้าถ้ำBlue Grotto นั้นก็มิใช่ว่าจะเข้ากันได้ง่ายๆ เนื่องจากทางเข้าเล็กมาก และถ้าน้ำทะเลขึ้นสูงก็จะเข้าไม่ได้เช่นกัน
อ้อ จะมีเรือของคนตรวจตั๋วเข้าถ้ำด้วยนะคะ เตรียมไว้ให้ดีค่ะ

เรือเล็ก ทางเข้าก็ยิ่งเล็ก ต้องนอนราบกันไปกับเรือตอนเริ่มเข้าถ้ำค่ะ
คลื่นมาทีน้ำกระฉอกเปียกที
ในถ้ำมืดมาก กล้องนี่ไม่ทันใจ ถ่ายไม่ได้ ต้องยกมือถือมาถ่ายเลยค่ะ

ถึงแม้จะเข้าไปในถ้ำแป๊บเดียว ไม่กี่อึดใจ แต่ก็รู้สึกถึงมนต์ขลังในถ้ำมาก ขนลุกบอกไม่ถูก
จากนั้นเราก็เปลี่ยนเรือ กลับมาสู่ตัวเกาะคาปรีอีกครั้ง ไปรับประทานอาหารเที่ยงกัน แล้วช่วงบ่ายถึงจะไปชมวิวเกาะคาปรีจากภูเขา ชาวคณะเราเลยต้องแยกเป็น 2 กลุ่ม 2 คัน ทางแคบและต้องใช้ฝีมือสูงเล่นเอาลุ้นใช้ได้ (เพิ่งจะรู้ว่านี่คือเบๆ มาก วันต่อๆ ไปที่ Amalfi ยิ่งกว่านี้)
ร้านอาหารอยู่บนเขาเล็กน้อย บนเส้นทางเดียวกันค่ะ ก็แวะเติมพลังกันก่อน ร้านน่ารักมาก เราต้องเดินผ่านสวนที่มีมะนาวกับส้มเรียงรายจนมาถึงตัวร้านค่ะ
ถูกใจมาก พาสต้าอร่อย
เรามาถึงร้านช่วงเที่ยง นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก แต่พอเราทานเสร็จ ก็มีทัวร์ชาวอิตาเลียนเต็มร้านเลยค่ะ ครูก้าอธิบายว่าคนอิตาเลียนทานอาหารกันบ่ายโมง เรามาตอนเที่ยงก็เลยสบายหน่อย
ได้ความเพิ่มเติมว่ากลุ่มทัวร์ชาวอิตาเลียนนี้น่าจะมาจากทางเหนือค่ะ อารมณ์แบบมาเที่ยวตากอากาศภาคใต้ อะไรประมาณนั้น
จากนั้นก็ขึ้นไปชมวิวเกาะคาปรีจากภูเขากัน ต้องนั่งรถเล็กไต่ขึ้นเขา ชาวคณะเราเลยต้องแยกเป็น 2 กลุ่ม 2 คัน ทางแคบและต้องใช้ฝีมือสูงเล่นเอาลุ้นใช้ได้ (เพิ่งจะรู้ว่านี่คือเบๆ มาก วันต่อๆ ไปที่ Amalfi ยิ่งกว่านี้)
จากนั้นก็ถึงจุดขึ้นกระเช้า เราก็ลงตรงนี้เพื่อนั่งกระเช้าไปสู่ Monte Solare
กระเช้าเป็นแบบนั่งเดี่ยวกลางแจ้งแบบนี้แหละค่ะ
วิวคาปรี
นั่งกระเช้ากันนานเป็นสิบนาทีได้มังคะ นานเหมือนกัน แต่วิวสวยมาก (และร้อนมาก แดดแรงมาก) เช่นกัน
พอลงปุ๊บก็เดินชมวิวตระการตาต่อ
สวยจนลืมหายใจ ผืนฟ้าและผืนน้ำสีน้ำเงินสดมาก
มุมนี้มุมโปรดเลยค่ะ เพลินว่าสวยที่รูปปั้นนี่ล่ะ
จากนั้นก็ลงกระเช้า ตามด้วยนั่งรถกลับมาสู่ด้านล่าง เก็บบรรยากาศเกาะคาปรีอีกนิดแล้วก็นั่งเรือเที่ยว 16.30 น. กลับนโปลีค่ะ
คืนนี้เราก็ยังนอนที่เนเปิ้ลส์ (หรือนโปลี) เช่นเดิมค่ะ ^^
DAY4: (AMALFI COAST) – POSITANO – AMALFI – RAVELLO – SORRENTO
AMALFI Coast
วันนี้เราต้องอำลาแคว้นคัมปาเนีย เข้าสู่เมืองชายฝั่งที่เป็นเมืองตากอากาศขึ้นชื่อ โดยลัดเลาะเลียบไปตามเขาริมทะเลอย่างชายหาดอมาลฟี่ (Amalfi Coast) ซึ่งเป็นชายหาดที่ UNESCO ขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วยนะคะ
พวกเราต้องเปลี่ยนเป็นเป็นรถตู้คันเล็ก ๆ สองคัน เพื่อลัดเลาะขึ้นเขาคดเคี้ยวไป Amalfi Coast ถนนแคบขนาดพอให้รถเล็ก ๆ สวนกันไปได้ ต้องใจเย็นและมีสกิลเทพมากค่ะ
เรียกได้ว่าคนอิตาเลียนนี่เป็นเจ้าแห่งการเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขาและทำถนนบนเขาจริงๆ น้า!!!
งามอลังการอย่างที่ไม่ต้องใช้คำบรรยายใดๆ
ชมด้วยตา ดื่มด่ำกับชายหาดและบ้านเรือนหลากสีตลอดแนวฝั่ง แม้เราถ่ายรูปออกมาก็ยังไม่สวยเท่าที่ตาเห็นจริงๆ
รถจะหยุดจอดให้เราลงไปชมวิวเป็นจุดๆ ไป เราต้องฝ่าฟันฝูงชนนักท่องเที่ยวพอสมควรกว่าจะได้รูปที่ถูกใจค่ะ
มีชายหาดสีดำด้วยค่ะ แท่งหินเหล่านี้ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นกระทบฝั่งค่ะ
จากนั้นหมอกก็เริ่มลงจัด อากาศเย็นลงโดยไม่ทันตั้งตัวค่ะ ทั้งที่อุ่นๆ จนเกือบร้อนมาตลอดหลายวัน
จากนั้นเราก็เริ่มเข้าใกล้เมือง Positano ค่ะ รถจอดให้เราแวะตลาดข้างทาง (เลยทำให้รู้ว่าเราเข้าใกล้เมือง Positano แล้ว) จริงๆ เค้าจอดให้เราถ่ายรูปวิวสวยๆ ค่ะ แต่พอดีมีตลาด ขาช้อปก็เลยรุมแผงเลยค่า
Positano
ตลาดที่ว่าก็ประมาณนี้ค่ะ มีผลไม้ และพริกแห้ง เครื่องเทศหลายชนิด
ครูก้าแนะนำผงเครื่องเทศสำหรับทำพาสต้าซอสต่างๆ ค่ะ เป็นสูตรเฉพาะและเครื่องเทศพิเศษของ Positano เลยค่ะ เพลินและเพื่อนๆ พี่ๆ ในทริปจัดมาเยอะมากค่ะ มันตื่นตาตื่นใจไปหมด
นี่ค่ะผงเครื่องเทศที่ว่า… ชาติไทยไม่น้อยหน้าชาติใด กวาดกันไปแทบเกลี้ยง
ซองละ 2-4 ยูโรเท่านั้นค่ะ
ครูก้าผู้มาเยือนที่นี่บ่อยครั้งแล้ว แนะนำผงเครื่องเทศรสมะนาวที่ไว้ปรุงพาสต้าทูน่าค่ะ
เพลินเลยเอาสูตรนี้มาหลายซอง คละกับสูตรอื่นๆ
จากนั้นเราก็เข้าสู่ตัวเมือง Positano กันละ Positano เป็นเมืองที่โด่งดังที่สุดของชายหาดอมาลฟี่แห่งนี้ ภาพยนตร์หลายเรื่องมักมาถ่ายทำเพราะความงามและความเล็กกะทัดรัดของเมืองนี้
เรื่องดังๆ ที่มาถ่ายที่นี่ก็เช่นเรื่อง Under The Tuscan Sun กับเรื่อง Only You เพลินไม่เคยดูสักเรื่องค่ะ
ตัวเมืองมีลักษณะเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ เชิงเขาริมหาด สีพื้นของหมู่บ้านจะออกโทนขาว มีความพาสเทลแต่งแต้มไว้อย่างน่ารักลงตัว
เพลินมัวแต่เพลิดเพลินกับร้านรวงต่างๆ จนไปไม่ถึงชายหาดเลยค่ะ ชอบดูจานชามน่ารักๆ
และเสื้อผ้าของเค้าก็เก๋มาก เพลินไปได้กระโปรงผ้าลินินที่ทำเป็นเดรสเกาะอกมา เป็นของ Positano แท้ด้วย น่ารักมากๆ ค่ะ
Amalfi
จาก Positano เราก็นั่งรถต่ออีกราว 15 กิโลไปถึงเมือง Amalfi เมืองเล็กๆ แต่เคยเจริญรุ่งเรืองทางการค้าในสมัยโบราณ เลยเป็นที่มาของชื่อชายหาดแถบนี้ทั้งหมด
เราสามารถเดินชมเมืองนี้ได้หมดภายใน 20 นาที แต่อาจไม่ค่อยเห็นร่องรอยอารยธรรมเท่าไรนัก เนื่องจากเมืองนี้เคยถูกแผ่นดินไหวถล่มในปี 1343
เรามีเวลาที่เมืองนี้ไม่มาก แอบเสียดายเหมือนกันเพราะน่ารักมากๆ อยากจะเข้าไปชมโบสถ์ก็ไม่ทันค่ะ ได้แต่รีบเก็บภาพ
โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ประจำเมือง สวยแปลกตาด้วยหินอ่อนขาวสลับดำ
มีบันไดสูงขึ้นไปถึงโบสถ์ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขามมาก
นักท่องเที่ยวล้นหลามเช่นเคย
หมอกเริ่มลงหนาตอนเราออกจากเมืองอมัลฟี่ ลัดเลาะไปตามชายหาด
Ravello
จากเมืองอมาลฟี่ เราก็นั่งรถต่ออีกนิดเข้าสู่เมือง Ravello เมืองเล็กบนเนินเขาสูง มาถึงตอนนี้หมอกลงหนาจัดมาก และอากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ
เมืองนี้เรามีไกด์ท้องถิ่นชาวอิตาเลียนร่วมบรรยายและพาชม VILLA RUFOLO คฤหาสน์ตากอากาศของคหบดี ขึ้นชื่อมาตั้งแต่โบราณ ขอบอกว่าสวยมาก สวยกว่าในรูปอีกหลายเท่าเลยค่ะ
สมเป็นคฤหาสน์มหาเศรษฐี และสไตล์แบบอิตาเลียนมากๆ
หมอกลงหนา ภาพก็จะครึ้มๆ แบบนี้ แต่ก็ยังสวยอยู่นะคะ
วิว Ravello ก่อนเข้า Villa Rufolo
ถึงตอนนี้เพลินหนาวมากค่ะ เสื้อผ้าที่เตรียมมานี่กะมาตากอากาศเต็มที่ เดินไปสั่นไป เข้าวิลล่านึกว่าจะได้อุ่น แต่เปล่าค่า วิลล่ามีความเอาท์ดอร์สูงมาก
ฉากไฮไลต์ของ Villa Rufolo อยู่ที่นี่เลยค่ะ
ชอบต้นไม้จังค่ะ น่ารักมาก ไม่รู้ต้นอะไร
สวยแบบอิตาเลียน
เห็นหมอกนั่นไหม
อำลา Ravello อย่างแสนเสียดาย ก่อนยิงยาวมุ่งหน้าสู่ Sorrento ค่ะ 60 กม. ก็หลับยาวไป
Sorrento
Sorrento เป็นเมืองแห่งเหล้า Limoncello (แท้ทรูกว่าคาปรีค่ะ เค้าว่างั้น) เหล้ารสมะนาวอันเลื่องชื่อที่นิยมกรึ๊บหลังมื้ออาหาร ว่ากันว่าเมื่อย่างเท้าาสู่เมืองซอร์เรนโต้ เราจะได้กลิ่นมะนาวและเห็นมะนาวลูกเหลืองโตตามสวนของชาวบ้าน
จริงๆ ก็เห็นมาตลอดทางนะคะ ที่คาปรีก็มี ฮ่าๆ
สำหรับเพลิน เพลินว่าเมืองนี้น่ารักดีค่ะ เคยมาตอนเด็กแต่ลืมไปแล้ว มาเห็นอีกครั้งก็ตื่นเต้น
Limoncello ค่ะ เพลินจัดที่คาปรีมาแล้ว ที่นี่ก็เลยอดใจไม่ซื้อ เพราะเดี๋ยวน้ำหนักกระเป๋าจะเกินค่ะ ร้านนี้มี Meloncello ด้วย


จานชามก็กุ๊กกิ๊กน่ารักอีกแล้ว แบกไม่ไหวแล้วน้า
เมืองดูสดชื่นสมเป็นฤดูใบไม้ผลิ
ร้านเครื่องเทศ มัดพริกเป็นยวงๆ แขวนหน้าร้านเลย
ตกเย็นฟ้ายังสว่างอยู่ เราจึงรีบมุ่งหน้าไปร้านอาหาร แอบต้องทำเวลาเพราะควรต้องถึงโรงแรมให้ทันพระอาทิตย์ตกดิน
ทีนี้จากร้านอาหารมุ่งหน้าสู่โรงแรมซึ่งไกลมาก แต่ขึ้นชื่อว่าสวยมาก We were supposed to watch sunset there แต่การจราจรติดพอควรทำให้เราไปถึงโรงแรมค่ำมาก อดดูพระอาทิตย์ตกดินเลย
พี่ต้อมที่ตามมาจอยพวกเราอีกทีมารออยู่ที่โรงแรมตั้งแต่เย็นๆ เล่าว่าพระอาทิตย์ตกดินที่โรงแรมนี่สวยสุดๆ ไร้คำบรรยาย
แง เสียใจ
คืนนี้เราค้างที่ Sorrento ค่ะ โรงแรมที่ว่าคือ Towers Hotel Stabiae Sorrento
ดีงามค่ะ ไม่ใหญ่มากแต่น่ารัก และเก๋ดี
อรุณเบิกฟ้า เราก็รีบลงมาชมวิวด้านล่าง แต่ไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นนะคะ
โรงแรมนี้มีหลายตึก เพลินนอนคนละตึกกับอาคารอาหารเช้าค่ะ
แล้วก็ถึงเวลาอำลา Sorrento เมืองน้อยๆ แสนน่ารัก เข้าสู่ Part 2 เหล่าเมือง Unseenค่ะ
Part2: Unseen
Day5
คราวนี้เรานั่งรถกันยิงยาวราว 220 กิโลเลย
อย่างที่บอกว่าช่วงแรกเราเที่ยวกันแถวหน้าแข้งของรองเท้าบู๊ต คราวนี้เราจะข้ามไปฝั่งน่อง ค่อนไปทางข้อเท้าแล้วเลาะไปจนถึงส้นรองเท้าเลยค่ะ
ครูก้าบอกว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีทัวร์ไปหรอกค่ะ และไปเองยังไปยากเลยเพราะรถขนส่งสาธารณะที่จะไปถึงมีน้อย และยังไม่ทันสมัยมากถ้าเทียบกับเมืองส่วนบนๆ ค่ะ ลองจินตนาการภูมิประเทศตามนะคะ ส่วนบนของประเทศอิตาลีมีพรมแดนติดกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป ความเจริญหรืออะไรต่อมิอะไรจะแพร่เข้ามาง่ายกว่า เราจะเห็นการซึมซับ ผสมผสานวัฒนธรรมมากในแถบตอนบนๆ เช่น มิลาน เวนิซไรพวกนี้
แต่ส่วนล่างๆ ตั้งแต่ครึ่งน่องไปจนถึงเท้าเรียกได้ว่าแยกออกมาจากบ้านเมือง วัฒนธรรมอื่นชัดเจน อีกทั้งยังมีภูเขาสูงเป็นปราการ ยิ่งทำให้ความเจริญเข้าถึงช้าและลำบาก
และลักษณะสำคัญคือแต่ละแคว้นตอนใต้เหล่านี้คือมีภาษาพูด สำเนียงของตัวเอง และพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ ต้องมีคนนำทางที่พูดภาษาอิตาเลียนได้ และยิ่งเข้าใจภาษาถิ่นแถวนี้ได้ยิ่งดี (ซึ่งหายาก แต่ครูก้าเป็นหนึ่งในผู้หายากนั้น พวกเราก็เลยโชคดี)
และแล้วเราก็เข้าสู่แคว้น Basilicata (บาซิลิกาต้า) ค่ะ เราผ่านเหล่าขุนเขาที่ผ่ากลางหน้าแข้งกับน่องกันมา ทิวทัศน์ก็จะเป็นภูเขาสลับซับซ้อน ต่างจากวิวทะเลจากที่ผ่านมาค่ะ
เมืองแรกคือ Castelmezzano
Castelmezzano
เมืองเล็กๆ ในแคว้นบาสิลิกาต้าเมืองนี้ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 985 เมตร เป็นหมู่บ้านที่มีผังเมือง และซอกเล็กซอยน้อยสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลีเลยทีเดียว เมืองนี้อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาอย่างแท้จริง และเห็นเขาหินสีเทาดำเป็นปราการทะมึนดูน่าเกรงขาม
เนื่องจากเป็นเมือง Unseen มาก ทัวร์ไทยไม่เคยมีลงมาก่อน บริษัททัวร์ในไทยที่ครูก้าดีลจัดมาเลยไม่มีคอนแทคกับร้านอาหารใดๆ ที่คาสเตลเมซซาโน
เนื่องจากไม่มีทัวร์ลง ไม่มีนักท่องเที่ยว เราเลยได้เห็นความงามของบ้านเมืองที่น้อยคนจะดั้นด้นมาเยือน
ตอนแรกเราจะทานอาหารกันที่ร้านมิชลิน แต่อดค่ะ เพราะเปิดบ่ายสองนู่น ร้านอื่นก็ยังไม่เปิดกันเลย เราเลยเฮกันไปสั่งพิซซ่าอบใหม่ อร่อยมากๆ แป้งไม่หนาไม่บางกำลังดี แต่มะเขือเทศบนหน้าพิซซ่านี่คือที่สุด ^^

เราค่อยๆ เดินลัดเลาะไปตามทางซอกเล็กซอกน้อย ชมบ้านเรือนกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักรายทางอย่างเพลิดเพลิน ผ่านถนนคดเคี้ยวเป็นเนินสูงต่ำ รู้ตัวอีกทีก็เดินอ้อมเขาไปจนสุดหมู่บ้าน
ชาวเมืองที่นี่ก็น่ารัก เป็นกันเอง แม้พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ก็ยิ้มให้เราอย่างดี มีความสนใจอยากรู้หน่อยๆ (เดาว่าคงไม่เห็นคนเอเชียบ่อยนัก) และยิ้มให้อย่างเอียงอาย
โบสถ์ประจำเมือง เล็กเรียบง่าย เงียบสงบแบบพอดีๆ
ระหว่างเดินลัดเลาะไปนั้น ที่โบสถ์ก็มีการสวดมนต์ขึ้น เสียงกังวานก้องหุบเขาราวกับใช้ลำโพงขยายเสียง ขนลุกมากๆ เหมือหลุดไปในพิธีกรรมแห่งโลกยุคโบราณ
บ้านเมืองน่ารักอย่างเรียบง่าย
สงบเงียบ น่ารักแบบไม่เรียกร้องความสนใจ เหมือนกาลเวลาหยุดหมุนลงยังไงบอกไม่ถูก
เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคำว่า “พอเพียง”อย่างแท้จริง
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่เมืองเก่าอีกเมือง ที่มีเสน่ห์แห่งความเก่าแก่ไม่แพ้กันคือ Matera
Matera
Matera (มาเตรา) ได้รับเลือกเป็นเมืองมรดกโลกที่คงความเก่าแก่โบราณสืบย้อนไปได้ถึง 30,000 ปีสมัยที่มนุษย์ยังอยู่ในถ้ำและยังมีช้างแมมมอธ
ส่วนความเป็นเมืองของ Matera ก็ถือว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ก็มีอายุถึงเจ็ดพันปีเลยนะ
Matera เคยเป็นเมืองร้าง คนอพยพออกไปด้วยภัยแล้ง และกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง
เมืองนี้ยังเป็นฉากถ่ายทำเรื่อง Passion of the Christ ด้วยนะคะ เพลินเคยดูสมัยวัยรุ่นที่เมล กิ๊บสินกำกับและแสดง จำได้แต่ถูกทรมาน เฆี่ยนตีจนต้องเดินออกจากโรง ไม่กล้าดู
เมืองนี้ก็มีความอยู่บนเขาเช่นกันค่ะ บ้านเรือนดัดแปลงจากถ้ำกว่า 3,000 ถ้ำค่ะ
จากตัวเมืองด้านล่างก่อนขึ้นเนินเขาก็จะดูคึกคักนิดๆ เมืองเค้าใหญ่กว่า CastelMezzano พอสมควร เพราะมีความเป็นตัวเมืองค่ะ
ยังเห็นความเป็นเมืองอยู่
แต่พอขึ้นเนินไปเขตเมืองเก่าที่อนุรักษ์ไว้ จะเห็นความเป็นเมือง “โบราณ”
ความเก่าของเค้ามีเสน่ห์มาก
ตัวเมืองเก่าเป็นสีเหลืองเหมือนกระดาษเก่าอย่างนี้เลยค่ะ แต่พอแดดแรงๆ เวลาถ่ายรูปเลยเห็นความเหลืองไม่ชัดมาก เพลินเลยถ่ายด้วยฟิลเตอร์เพื่อรักษาสีของมันค่ะ มันเหลืองเก่าได้ใจจริงๆ
เดินลัดเลาะชมเมืองกันอย่างตื่นตาตื่นใจ เมืองแบ่งออกเป็น 2 เขต คือ Sasso Caveoso ซึ่งดูยากจนกว่าย่าน Sasso Barisano ซึ่งได้รับการบูรณะมากพอสมควรแล้ว
เราก็เดินหลงไปหลงมาค่ะ มันสลับซับซ้อนพอสมควร เส้นทางคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อย จริงๆ มีภาพวาดเฟรสโก้ตามโบสถ์ต่างๆ ที่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 8-13 ด้วยนะคะ
พอถ่ายธรรมดาๆ กลางแดดจ้า ก็จะไม่เห็นความเก่าเหลืองโบราณเท่าไหร่ค่ะ
โฉมหน้าของเมืองเก่าแก่ที่ดัดแปลงมาจากถ้ำค่ะ
Matera ยังได้รับเลือกเป็นเมืองหลวงวัฒนธรรมของยุโรปในปี 2019 ด้วยค่ะ
(ถ้าเคยอ่านบล็อกก่อนๆ ของเพลิน เพลินเล่าถึงเมือง Graz ว่าได้เป็นเมืองหลวงวัฒนธรรมยุโรปค่ะ เค้าจะมีการคัดเลือกกันเป็นปีๆ ไปค่ะ ปีหน้า 2019 จะเป็นของ Matera ค่ะ)
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่เมือง Bari เมืองหลวงของแคว้น Puglia (ปูลเยีย) โรงแรมที่เราพักคืนนี้มีลักษณะ Business Hotel มากกว่าโรงแรมนักท่องเที่ยวค่ะ ค่อนข้างดูโมเดิร์นหน่อย
ครูก้าบอกว่าบารีจะดูกันดารนิดๆ แล้งหน่อยๆ แต่ก็จัดเป็นเมืองใหญ่ ติดทะเล ก็เป็นเมืองหลวงแคว้นนี่นะ
Day6
Castel Del Monte
วันนี้พวกเราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปเยือนเขาวังรูปทรงสมบูรณ์เป็นทรงแปดเหลี่ยม ชื่อ Castel del Monte (คาสเตล เดล มอนเต้) สร้างในสมัยกษัตริย์กษัตริย์ Federick II ในศตวรรษที่ 13 เพลินเห็นครั้งแรกนี่อ้าปากคว้าง นอกจากเพราะสีครีมนวลๆ สะอาดตาแล้ว มันยังดูใหม่และสมบูรณ์อยู่มากๆ ไม่เหมือนปราสาทเก่าแก่ในยุคกลางเลย
Castel del Monte จัดเป็นปราสาทที่สวยและยังคงความลึกลับอยู่ถึงทุกวันนี้ ที่ว่าลึกลับนั้นหลายแง่มุม คือ ไม่มีใครรู้ว่าปราสาทนี้สร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด และไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ในปราสาทอันโอ่อ่าและงดงามแห่งนี้เลย
ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ถึงทุกวันนี้
ปราสาทแห่งนี้เป็ฯอีกที่หนึ่งที่มาด้วยตัวเองได้ยาก เพราะไม่มีขนส่งมวลชนใดๆ ผ่าน และห่างจากตัวเมืองถึง 35 กม.
เพลินชอบที่นี่มากๆ มันตราตรึงใจยังไงบอกไม่ถูก มันเป็นตั้งตระหง่านบนเขาเงียบๆ ไม่มีอาคารอื่นใดแวดล้อมเลยนอกจากสวนดอกไม้ล้อมรอบ
ปราสาทเปิด 10.00 น. และรถที่จะพาขึ้นไปมา 9.30 น. ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีถึงบนเขา แต่คณะพวกเรามาถึงกันตั้งแต่เก้าโมง เลยค่อยๆ เดินต้วมเตี้ยมขึ้นเนินไปบนปราสาทโดยไม่รอรถราง ก็จะได้ชมวิวและเหมือน hiking รอไปด้วย
คนที่ขี้เกียจเดินก็ชอปปิ้งของที่ระลึกด้านล่างรอรถค่ะ
เพลินน่ะ เดินนะจะบอกให้ ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า มีไอหมอกนิดๆ วันนี้ค่อนข้างหนาวค่ะ
บรรยากาศระหว่างเดินขึ้นไปบนเขาค่ะ
สวยสะกดใจจริงๆ
ตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม และน่ารัก เห็นไหมคะว่ามันยังดูสวยและใหม่มากๆ ไม่มีอาคารอื่นเลย
จากนั้น 10.30 เรานั่งรถต่อไปถึงเมือง Alberobello (อัลเบโร่เบลโล่) (ชื่อน่ารักสุดๆ) ใช้เวลาเกือบชั่วโมงครึ่งค่ะ
ถึงปุ๊บเราก็กินข้าวกันก่อนเลยค่ะ หิวมาก
Alberobello
เมืองน้อยน่ารักนี้ เป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยยุคกลาง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะคะ มีชื่อเสียงโด่งดังด้วย “บ้านหลังคาฝาขนมครก” หรือที่เรียกว่า Trulli
สาเหตุที่สร้างด้วยรูปทรงนี้เพื่อเลี้ยงภาษีอาคารบ้านเรือนในอดีตเนื่องจากดูไม่มั่นคงแข็งแรงเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วแข็งแรงมากนะคะ
ที่นี่เป็นไฮไลต์อีกที่ที่เพลินตั้งตารอมากๆ มันน่ารักมากๆ จริงๆ ค่ะ
Trullo (Plural ~ Trulli) หรือบ้านหลังคาขนมครกถูกบรรยายไว้ในแอปลิเคชั่นท่องเที่ยวว่า Hobbit-like, Dome-Roofed house คือหน้าตาเหมือนบ้านฮอบบิท (บ้านเตี้ยหลังคาค่ำ) และหลังคาทรงโดม
เค้าวัดความสวยงามของแต่ละหลังด้วยจุกหลังคาค่ะ เพราะส่วนอื่นหน้าตาเหมือนๆ กันหมด
มี Siam Trullo ด้วยน้าจะบอกให้
น่ารักอ่ะ ชอบบ ไม่รู้จะบรรยายยังไง
หมู่บ้านนี้ยังมีงานฝีมือแบบทำมือ (hand made) ขาย น่ารัก น่าซื้อทั้งนั้นค่ะ
สีสวยจนต้องถ่าย ก็เป็นเหล้าในขวดทรง Trulli
หมู่บ้านน้อยๆ นี้ชมแป๊บเดียว สักชั่วโมงกว่าก็หมดแล้วค่ะ เต็มอิ่มมากๆ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่เมืองสวย unseen อีกสองเมือง คือ Martina Franca และ Locorotondo
Martina Franca
Martina Franca (มาร์ติน่า ฟรังก้า) เป็นอีกเมืองที่ “เงียบและงาม”
น่ารักสดใสแบบสง่างามด้วยบ้านสีขาวตัดกับดอกเจอเรเนียมสีแดงสด เมืองนี้ตั้งอยู่สูงที่สุดในบริเวณแถบนี้ ตั้งในศตวรรษที่ 10 แต่มาเฟื่องฟูในศตวรรษที่ 14
เมืองเก่ามีกำแพงหินโอบล้อมไว้รอบและมีประตูทางเข้าศิลปะบาโร้กไว้เชื้อเชิญผู้มาเยือนอย่างสง่างาม
จากนั้นมุ่งหน้าสู่เมืองใกล้ๆ คือ Locorotondo
Locorotondo
Locorotondo (โลโคโรตอนโด) ถ้าจะมีเมืองไหน ที่ Unseen ที่สุดในทริปนี้ ก็น่าจะเป็นเมืองนี้ เป็นอีกเมืองที่ “เงียบและงาม” และขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองเล็กที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี
โลโคโรตอนโด เรียกว่าเป็นเมืองแห่งวงกลม ก็เมืองสร้างเป็นวงกลม เดินแล้วจะโค้งๆ วนๆ มีสวนสาธารณะกลางเมืองที่ชมทิวทัศน์ด้านล่างได้ทั้งเมือง
บ้านเมืองน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม
เดินเล่นชมเมืองบทบาทวิถีสีงาช้าง ชมวิหาร Santa Maria della Graecia
จากนั้นก็ทานอาหารเย็นแล้วกลับที่พัก เรายังพักโรงแรมเดิมใน Bari ค่ะ
Day7
Lecce
เช้าวันรุ่งขึ้นเราเดินทางสู่เมือง Lecce (เลชเช่) เลชเช่ ได้ชื่อว่าเป็นฟลอเรนซ์ของภาคใต้ นอกจากจะเป็นเมืองหลวงของศิลปะบาโร้กแล้ว แหล่งแฟชั่นแบรนด์จากมิลานก็ไม่ขาด
ธอมัส แอช นักท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 18 ได้กล่าวไว้ว่า
“เลชเช่คือเมืองที่สวยที่สุดในอิตาลี”
ในขณะที่ ขุนนางท่านหนึ่งคิดว่า หน้าบันของโบสถ์กลางเมืองทำให้นึกถึงคนประสาทที่กำลังฝันร้ายอยู่
ศิลปะบาโร้กแพรวพราวมากค่ะเมืองนี้ ละเอียดยิบเลยค่ะ
โบสถ์สวยจนลืมหายใจ
ครูก้าอธิบายว่าเมืองเล็กๆ ในแคว้นตอนใต้นี่ถ้ามีคนบ้านไหนตาย เค้าจะติดป้ายบอกงานศพแบบนี้ไว้บนเสากลางเมืองเป็นการประกาศให้คนในเมืองรู้ว่าผู้ตายเป็นใคร งานศพมีที่ไหน วันไหน อย่างไรบ้าง
จากนั้นเดินทางต่ออีกชั่วโมงนึง เราก็ถึงเมือง “เงียบและงามอีกเมืองคือ” Ostuni
Ostuni
Ostuni (ออสตูนี่) เป็นเมืองเล็กที่เปรียบเสมือน “มงกุฎราชินีสีขาว” บนยอดเนินเขา เป็นเมืองที่บ้านเรือนสีขาวโพลนไปหมด เพลินเห็นแฮชแท็กในอินสตาแกรมเขียนเมืองนี้ไว้ว่า Città Bianca หรือเมืองสีขาวค่ะ (เลื่อนลงไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นตัวบ้านเรือนสีขาวค่ะ)
แล้วโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์พิเศษด้วยโบสถ์ที่รวมความเป็นโกธิค โรมาเนสก์ และไบแซนไทน์ไว้ด้วยกัน
เมืองนี้นักท่องเที่ยวเยอะไม่แพ้ Lecce เลยค่ะ
เดินลอดประตู San Demetrio ซึ่งสร้างไว้ตั้งแต่ยุคกลาง
บ้านเมืองเริ่มเป็นสีขาวแล้วนะคะ
เพลินชอบอาคารที่บางเหมือนกำแพงนี้ค่ะ แปลกดี
จากนั้นเราก็กลับ Bari ค้างที่นี่อีกคืนก่อนมุ่งหน้ากลับโรมค่ะ
Day8
วันนี้เป็นวันเดินทางทั้งวันค่ะ เพราะเราจะตีขึ้นเหนือค่ะ นึกตามนะคะว่าตอนนี้เราอยู่ที่ส้นรองเท้าบู๊ต จะขึ้นเหนือไปบนๆ นู่นเลย
แต่ครูก้าก็เอาใจคนชอบช้อปด้วยการแวะ La Reggia Outlet
พนักงานมารยาทแย่มากค่ะ ไม่ปลื้ม จากนั้นถึงโรมตอนห้าโมงเย็นค่ะ
Roma
แวะดื่มด่ำกับแม่น้ำไทเบอร์ (Tevere) ยามเย็น บรรยากาศดี นักท่องเที่ยวไม่อัดแน่น
Tevere คือไทเบอร์ค่ะ Lungo แปลว่ายาว
จากนั้นทานข้าวเย็นแล้วเราก็เข้าที่พัก รีบพักผ่อนกันค่ะ เริ่มเหนื่อยแล้วล่ะ
Day9:
เพลินมาเที่ยวโรมหลายครั้ง พี่ๆ ในทริปหลายท่านก็เคยมากันแล้ว พวกเราเป็นคอเด็กอักษร จะไม่สนช้อปปิ้งกันเท่าไหร่ แต่จะตาโตตื่นตาตื่นใจกับมิวเซียม ศิลปะ พระราชวังอะไรต่างๆ
ครูก้าจัดให้เต็มอิ่มเลยค่ะ พามาชม Villa Borghese ที่ต้องจองตั๋วล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ เพื่อไม่ให้พลาดศิลปะสวยงามหาดูยากค่ะ
Villa Borghese
Villa Borghese (วิลล่า บอร์เกเซ่) พิพิธภัณฑ์อันเป็นเหมือนอัญมณีเม็ดน้อยแต่ทรงคุณค่านี้ ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของสวนสาธารณะแห่งใหญ่ของกรุงโรม สำหรับคอศิลปะแล้ว นี่เป็นที่ที่พลาดไม่ได้อีกแห่งเลยนะคะ
เราได้ชมชมงานศิลปะล้ำค่าเต็มแน่นพิพิธภัณฑ์ รูปสลักและจิตรกรรมทั้งหลายราวมีชีวิตจริงอย่างจุใจ ควรต้องอยู่ทั้งวันถึงจะพอนะคะ เหล่าเด็กอักษรก็ฮือฮากับเกร็ดประวัติที่ครูก้ากับไกด์ท้องถิ่นผลัดกันเล่า ก็แหม เคยเรียนผ่านหูผ่านตามานี่นะ
เพลินหิวมากเลยทานสลัดที่วิลล่า บอร์เกเซเลยค่ะ แล้วค่อยไปทานมื้อเที่ยงต่อ
ต่อให้คนที่ไม่ได้อินกับศิลปะมากมายก็ต้องตะลึงกับรูปสลักหินอ่อนที่นุ่มนวลราวกับของจริง
รูปสลักสำคัญคือรูปเทพพลูโตกับเทพีพรอสเซอร์ไพน์ รูปสลักนี้เป็นที่ร่ำลือกันเพราะรอยบุ๋มนิ้วเทพพลูโตที่กดลงไปบนเนื้อต้นขาของเทวีพรอสเซอร์ไพน์นั้นเสมือนจริงเอามากๆ


ตามตำนาน เทพพลูโตมีศักดิ์เป็นลุงของพระนางพรอสเซอร์ไพน์ แต่ตกหลุมรักหลาน เลยชิงตัวไปเป็นมเหสี ครองโลกใต้ดินด้วยกัน
จากนั้นช่วงบ่ายเราก็ “ข้ามประเทศ” ไปสู่นครรัฐวาติกัน ไปพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Musei Vaticani) เพลินมาโรมหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยเข้า Musei Vaticani เลยค่ะ ครั้งที่มาเองกับเพื่อนๆ ไม่ได้เข้าเพราะคนเยอะเกิน แต่ครั้งที่มากับทัวร์ ทัวร์ก็ให้ชมแต่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ค่ะ ครั้งนี้ฤกษ์งามยามดีได้เข้าชมด้วย
Musei Vaticani พิพิธภัณฑ์วาติกัน
โถงระเบียงยาวมีหลังคาเป็นรูปเขียนอย่างอลังการ
ภาพแผนที่อิตาลีในยุคโบราณ เพลินทึ่งมาก ชอบเป็นพิเศษเลยหยุดดูนานหน่อย ท่ามกลางมหาชนเบียดเสียด ภาพเราก็เลยแหว่งวิ่นอย่างนี้เพราะถูกจีนผลักบ้าง ชนบ้าง T_T
ละเอียดลออ งดงามทุกอณู
จากนั้นออกมาที่ระเบียง เค้าว่าตรงนี้จะเห็นวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้ชัดเจนที่สุด เพลินรีบวิ่งไปก่อนที่จะถูกมวลมหาประชานักท่องเที่ยวชิงพื้นที่ก่อน
จากนั้นไปชม Sistine Chapel หรือ วิหารน้อยซิสตีน มีงานชิ้นเอกของ Michelangelo อย่าง“Creation of Adam” ความสำคัญของวัดน้อยซิสตีน คือเป็นสถานที่ที่เหล่าพระคาร์ดินัลจะประชุมลับคัดเลือกพระสันตะปาปากัน เป็นพิธีกรรมโบราณยาวนานที่สืบต่อกันมาถึงวันนี้ ถ้าใครเคยอ่านหรือดูหนังเรื่อง Angels & Demons (เทวา กับ ซาตาน) จะต้องกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น เพราะได้สัมผัสฉากการลงคะแนนเลือกพระสันตะปาปาอันระทึก
เมื่อเข้าไปแล้วต้องเงียบค่ะ ห้ามใช้เสียง และห้ามถ่ายรูป ถ่ายวิดิโอ แต่แอบเห็นนักท่องเที่ยวชายต่างชาติคนหนึ่งแอบถ่ายวิดิโอค่ะ นิสัยไม่ดีเลยเนอะ
เพลินจึงไม่มีรูปสวยๆ ของวัดน้ำซิสตีนมาให้ชมค่ะ
ความงามของวัดน้อยซิสตีนอยู่ที่เพดานอันอลังการงานสร้าง เล่าเป็นเรื่องราวการถือกำเนิดของอดัม และเรื่องราวอื่นๆ
ต้องบอกว่าศรัทธาเท่านั้นที่ทำให้วาดได้ขนาดนี้ ทั้งสูง และละเอียดลออ งดงามมากค่ะ
ทางลงไปวัดน้อยซิสตีนค่ะ
จากนั้นด้วยเส้นสายที่ดีของครูก้าทำให้เราได้ทะลุเข้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica di San Pietro) โดยไม่ต้องต่อคิว
ที่บอกว่าดีงามเพราะทุกครั้งที่เพลินมามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (มาสี่ครั้งค่ะ) ทุกครั้งต้องต่อคิวเข้าจากด้านหน้าค่ะ แล้วคราวนี้ได้ลัดจากวาติกันมิวเซียมมาเลยก็เลยกระดี๊กระด๊า
ภายในมหาวิหารก็ยังสวยงามอลังการเหมือนเดิม รูป Pietà อันงดงามอ่อนช้อยและเลื่องชื่อนั้นเทียบไม่ได้กับ Veiled Christ และรูปสลักอื่นๆ ที่วิหาร San Severo เมืองนโปลี (จำได้กันอยู่ไหมคะ ^^) เลยค่ะ
อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะคะ
และหลังจากนั้นก็ได้ลงทางลับไปชมโลงพระศพจริงของ Pope แต่ละพระองค์ ก่อนจะไปบันไดสเปนและน้ำพุเทรวี่ค่ะ มีบาทหลวงชาวไทยที่มาศึกษาอยู่ที่วาติกันคอยอธิบาย ให้คำแนะนำด้วยค่ะ exclusive สุดๆ
ทางลับลงไปโลงพระศพนี่นึกถึงเรื่องเทวากับซาตานอีกแล้วค่ะ
ข้างล่างเค้าห้ามถ่ายรูปค่ะ
จากนั้นเรานัดพับกันด้านหน้าวิหาร ถ่ายรูปกับเสาที่เรียงรายโค้งเหมือนโอบล้อม มีจุดที่ให้ยืนอยู่แล้วมองเข้าไปจะเห็นแต่เสาแถวหน้าเท่านั้น… เหมือนในเรื่องเทวากับซาตานอีกแล้วค่ะ ส่วนที่หาคำใบ้บอกจุด “วาโย” นั่นเองค่ะ
ก่อนจะอำลากรุงโรม เราก็ไปเดินเล่นกันโดยเดินเข้าประตูกรุงโรมเยี่ยงวีรบุรุษโบราณ โดยลอดประตูด้าน Piazza del Popolo แวะถ่ายรูปกันที่บันไดสเปน (Piazza di Spagna) คนเยอะเว่อร์ ไม่ชิลเลยสักนิด
ไม่มีมุมดีๆ ให้ถ่ายเลยค่ะ

แวะร้านกาแฟชื่อดังคือ Caffè Greco แต่เพลินไม่ใช่คอกาแฟ เลยไม่ได้สั่งอะไรนอกจากน้ำเปล่า (กระหายน้ำสุดๆ ค่ะ แต่อยากได้บรรยากาศร้าน)
จากนั้นก็ไปน้ำพุเทรวี่ ที่คนเป็นล้านอีกแล้ว อย่าคิดว่าจะได้มุมสวยโดยไม่ติดคนค่ะ สมัยก่อนเพลินมานี่ชิลค่ะ มีรูปกับน้ำพุเทรวี่แบบสบายๆ เดี๋ยวนี้… ยากค่ะ

สุดท้าย เราก็ต้องกลับบ้านแล้วค่ะ มุ่งหน้าสู่สนามบิน Leonardo Davinci
Day10
ถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ
ทริปนี้จุใจกับความ Unseen และได้ชมความงาม ละเมียดละไมของศิลปะ บ้านเมืองที่หาดูได้ยากค่ะ แถมได้ความรู้อย่างเต็มอิ่ม ทำให้การชมเมืองต่างๆ ยิ่งมีอรรถรสมากขึ้นด้วยค่ะ