[Tunisia] | เพชรเม็ดงามที่โลกลืม

img_2729-1

ตูนิเซียHidden Gem เพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่ในโคลนตม

เราไม่ค่อยได้ยินคนพูดถึงตูนิเซียกันเท่าไหร่ จริงไหมคะ เวลาเรียนประวัติศาสตร์โลก ประเทศนี้ก็ไม่ค่อยถูกอ้างถึง หรือเมื่อพูดถึงแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก ก็ไม่มีชื่อตูนิเซียโผล่มาให้ได้ยิน หรือแม้แต่ในยุคปัจจุบันที่การเดินทางท่องโลกเป็นไปง่ายดายมากขึ้น ก็แทบไม่เห็นใครบอกว่าจะไปตูนิเซีย

พูดง่าย ๆ ว่าเป็นประเทศที่คนบ้านเราไม่ค่อยรู้จัก หรือแทบไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ

เป็นประเทศที่ถูก Underrated มาก ๆ

ที่จริงแล้วตูนิเซียเป็นประเทศที่มีครบรสทั้งภูเขา ชายทะเล ชายป่า ทะเลทราย เมืองเก่า เมืองตากอากาศ มีมรดกโลกสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเหมือนที่ประเทศอารยธรรมเก่าแก่ของโลกมี แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือพูดถึง แค่ให้ระบุว่าตูนิเซียอยู่ส่วนไหนของโลก คนยังต้องนิ่งใช้เวลานึก ยิ่งพอบอกว่าจะไปเที่ยวตูนิเซีย คราวนี้ยิ่งหนัก คนฟังทั้งงงว่าตูนิเซียอยู่ที่ไหน และหวาดเสียวเพราะคิดว่ากันดารและอันตราย

แต่ที่จริง เมื่อได้ไปสัมผัส ได้ท่องเที่ยวไปทั่วตูนิเซียแล้ว เพลินว่าประเทศนี้เหมือน Hidden Gem หรือเพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่ในก้อนดิน รอให้มีคนมาค้นพบ เขามีส่วนผสมของอารยธรรมเก่าแก่มากมายหลายแหล่งซ้อนทับกันไปมาจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตูนิเซีย เพลินก็เลยอยากพาทุกคนไปรู้จักตูนิเซียในแง่มุมที่งดงาม หลากหลาย และน่าทึ่งนี้ให้ได้มากที่สุด

ตูนิเซียอยู่ที่ไหน?

            เรามาเริ่มจากตรงนี้ก่อน ตูนิเซียอยู่ตอนเหนือของทวีปแอฟริกาค่ะ นึกภาพทวีปแอฟริกากันก่อน นางอยู่ตอนเหนือและติดทะเลเมดิเตอเรเนียน ข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนไปก็จะเข้าเขตน่านน้ำประเทศอิตาลีค่ะ ตามภาพเลย

img_2410-1

            ทิศเหนือและทิศตะวันออกติดทะเลเมดิเตอเรเนียน ทิศตะวันตกติดประเทศแอลจีเรีย ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดประเทศลิเบีย ขนาดพื้นที่ประเทศ 163,610 ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในภูมิภาคแอฟริกา

img_2411-2-1

ลักษณะภูมิประเทศมีความหลากหลาย ทางตอนเหนือเป็นภูเขา ทางตอนกลางของประเทศเป็นที่ราบแห้ง ทางตอนใต้มีบริเวณทะเลทรายซาฮาราที่แห้งแล้ง มีพื้นที่สำหรับเกษตรกรรม65 % ของพื้นที่ หรือประมาณ 106,085 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่เขตเมือง6 % ของพื้นที่ หรือประมาณ 9,898 ตารางกิโลเมตร

img_2409-1

เมืองหลวง คือ กรุงตูนิส

นอกจากนี้ ตูนิเซียยังจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “มาเกร็บ” (Maghreb) ซึ่งหมายถึงกลุ่มประเทศทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ได้แก่ ประเทศโมร็อคโค ลิเบีย ตูนิเซีย และอัลจีเรีย คำว่า “มาเกร็บ” มาจากภาษาอาหรับที่แปลว่า Sunset หรือพระอาทิตย์ตกดิน และแปลว่าตะวันตกด้วย แต่ในเชิงภูมิภาค จะหมายถึง ดินแดนทางทิศตะวันตกของเมกกะ ซาอุดิอาระเบียค่ะ

img_2408-1

อารยธรรมทับซ้อน และ ซับซ้อน

            ต้องเล่าเบื้องต้นก่อนว่า บริเวณพื้นที่ที่เป็นประเทศตูนิเซีย เป็นพื้นที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สมัยก่อได้เกิดอารยธรรมและอาณาจักรอันรุ่งเรืองคือ “คาร์เธจ” ของชนพื้นเมืองเบอร์เบอร์ ก่อนจะถูกรุกราน ผสมกลมกลืนกับชนชาติ อารยธรรมต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามามากมาย ผสมปนเปจนเกิดอารยธรรมใหม่ ๆ แต่ก็ยังมีร่องรอยอารธรรมเดิม ซึ่งเดี๋ยวเราจะค่อย ๆ เห็นผ่านสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างตลอดทริปนี้ว่ามันมีเลเยอร์วัฒนธรรมและอารยธรรมที่ซับซ้อนจนแยกได้ยาก

            ถ้าจะเล่าคร่าว ๆ ก็อย่างเช่น ดั้งเดิมดินแดนนี้มีชาวเบอร์เบอร์ ชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ และค่อย ๆ สั่งสมความเจริญผ่านชนชาติที่เข้ามาค้าขายเปลี่ยนผ่านกันไปบ้าง แต่ยังคงความเป็นชนพื้นถิ่นไว้ ก่อร่างสร้างอาณาจักร “คาร์เธจ” อันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองขึ้น หลังจากนั้นก็ถูกรุกรานโดยจักรวรรดิโรมัน ได้รับอิทธิพลโรมันมากพอตัว ผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เกิดเป็นลักษณะของตน หลังจากนั้นก็เป็นยุคของอาณาจักรและชนเผ่ายิ่งใหญ่ต่าง ๆ หมุนกันเข้ามา เช่น อาหรับ ผ่านศาสนาอิสลาม ก่อให้เกิดศิลปะ ความเชื่อแบบใหม่ที่รวมกับของเดิม และยังไปรับอิทธิพล “มัวร์” ของมุสลิมในคาบสมุทรไอบีเรียมาด้วย (พวกสเปนตอนใต้) จะมีความอิสลามปนคริสต์

            บางครั้งมัวร์ก็หมายถึงชาวมุสลิมในแอฟริกาเหนือด้วยค่ะ หรือหมายถึงชาวเบอร์เบอร์เดิมที่กลายเป็นชาวมุสลิม

            ดังนั้นจะเห็นว่ามีการผสมปนเป หลอมรวมทับซ้อนกันมาเรื่อย ๆ ศิลปะและวัฒนธรรมในตูนิเซียจึงเข้มข้นและซับซ้อน ทรงคุณค่าไม่แพ้แหล่งอารยธรรมใดในโลกเลย

            นอกจากนี้ ภายหลังที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคม ตูนิเซียก็ได้รับอิทธิพลแบบฝรั่งเศสเข้ามาเต็ม ๆ ดังนั้นวัฒนธรรมตูนิเซียจึงมีการ westernize แบบฝรั่งเศสเข้าไปอีก เราก็เลยจะเห็นว่าตามเมืองใหญ่โดยเฉพาะเมืองชายฝั่ง จะมีกลิ่นอายเมืองตากอากาศแบบตะวันตกอยู่ด้วย อย่างเมืองซูส (Sousse) เมืองตูนิส (Tunis) เมืองซิดิ บูเซอิด (Sidi Bou Saïd)

            ทริปนี้ของเพลินก็พาไปสำรวจตูนิเซีย ให้เห็นว่านางหลากหลาย ครบรสจริง ๆ

00 | เริ่มต้นออกเดินทาง

            ทริปนี้เพลินไปกับทัวร์ของบริษัท The Wild Chronicles ผู้เชี่ยวชาญทัวร์ประวัติศาสตร์และเส้นทางอารยธรรมค่ะ คืออยากได้ทัวร์ประวัติศาสตร์ ข้อมูลแน่นถึงใจ ต้องที่นี่เลยค่ะ เพลินเคยไปอิหร่านกับเค้ามาแล้ว ชอบมาก ประทับใจมาก

เราเดินทางโดยสายการบินกาตาร์ แวะเปลี่ยนเครื่องที่โดฮา แล้วลงที่สนามบินคาร์เธจ เมืองตูนิสค่ะ พอลงเครื่องมา ก็ออกจากตูนิสไปเมืองตากอากาศกันก่อนค่ะ


01 | ฉันไม่ใช่ซานโตรินี

#SidiBousaïd

            จั่วหัวแบบนี้ เพราะว่าดูเผิน ๆ มันเหมือนซานโตรินีมาก ๆ ค่ะ

            ใครจะนึกว่ายังมีเมืองตากอากาศชายทะเลน่ารัก ๆ ที่บ้านเมืองเป็นสีขาวหลังคาฟ้าอยู่ในทวีปแอฟริกา

            เพราะพอพูดถึงแอฟริกา พวกเราก็มักจะนึกถึงความร้อนและทะเลทรายแห้งแล้ง

            และเมื่อเห็นเมืองฟ้าขาวริมทะเลเมดิเตอเรเนียน ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตอบว่าซานโตรินีแห่งกรีซ

            แต่ขอโทษจ้ะ ที่นี่คือ ซิดิบูเซอิด แห่งตูนิเซีย และฉันไม่ใช่ซานโตรินี

            Sidi Bou Saïd เป็นหนึ่งในเมืองตากอากาศของประเทศตูนิเซีย ริมทะเลเมดิเตอเรเนียน อยู่ห่างจากตูนิสที่เป็นเมืองหลวง 20 กม. เท่านั้นเอง

แรกเริ่มเดิมทีที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวประมง จากบนหน้าผาสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์งดงามของอ่าวตูนิส ด้วยภูมิประเทศงดงามและอากาศเย็นสบาย คนจึงนิยมมาพักผ่อนตากอากาศ เศรษฐีผู้มีอันจะกินสมัยก่อนมาปลูกบ้านพักฤดูร้อนเอาไว้มากขึ้นจึงค่อย ๆ กลายเป็นเมืองตากอากาศ มีทั้งชาวพื้นเมืองตูนิเซีย ชนชาติอื่น และชาวฝรั่งเศส บรรยากาศเมืองนี้จึงครึกครื้นและมีกลิ่นอายความอินเตอร์แบบฝรั่งอยู่ชัดเจนแทรกไปกับความโลคอลอย่างแนบเนียน

เสน่ห์ของเมืองนี้ที่สังเกตได้อีกอย่างคือมีความเป็นเมืองศิลปินสูงมาก มีทั้งชาวฝรั่งเศสและชาวท้องถิ่น รวมทั้งชนชาติที่ทำการค้าขายสัญจรไปมา ร่วมกันสร้างสรรค์ศิลปะอาศัยอยู่ในเมืองนี้จำนวนมาก โดยเป็นงานศิลป์ที่ได้แรงบันดาลใจจากชีวิต บรรยากาศอันรื่นรมย์และภูมิทัศน์งดงามของเมืองนี้

ที่พิเศษก็คือที่เมืองซิดิ บูเซอิดนี้กำหนดให้ทุกบ้านทาสีหลังคาเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน ทำให้เมืองนี้มีภูมิสถาปัตย์โดนเด่นเป็นที่จดจำคล้ายกับเมืองบนเกาะ Santorini ประเทศกรีซที่เราคุ้นตากันดี แต่ที่จริง เมืองนี้เขาก็ริเริ่มสร้างสรรค์แบบนี้มานานแล้วละ

เราไปถึงเมืองนี้ช่วงบ่ายแก่ ๆ ฟ้ายังเป็นสีสด ลมทะเลบนหน้าผาพัดแรง หอบไอเย็นของอากาศ 15 องศากำลังเย็นสบายสดชื่น ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวออกมาเดินเล่นเที่ยวชมหมู่บ้าน ชมงานอาร์ตตามทาง และเข้าชมบ้านเรือนที่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้มาเรียนรู้สถาปัตยกรรมแบบเฉพาะของพวกเขา

พวกเราบางคนอยากชิล ๆ ก็จัดกาแฟร้อนมาเคล้าลมเย็น อากาศแบบนี้ควรได้กินอะไรร้อน ๆ จะฟินมาก พวกสายไม่กินกาแฟอย่างเราก็เลยได้จัด Bambalouni หรือแป้งทอดที่กรอบนอกนุ่มหนึบหนับคล้ายโดนัท (แต่ก็ไม่ใช่โดนัท) เป็นของคู่เมืองนี้ ฟินมาก ได้ผลัดกันกัด bambalouni คนละคำสองคำ ท่ามกลางอากาศหนาว มีลมทะเลพัดสบาย เดินชมวิวไปเม้ามอย ถ่ายรูปกันไปเรื่อย ๆ แล้วพบว่าชิ้นเดียวไม่พอค่า ต้องเดินกลับไปซื้อมาอีกชิ้น ที่ตอนแรกไม่ซื้อมาหลาย ๆ ชิ้นเพราะมันก็ชิ้นใหญ่พอสมควร

Bambalouni

เรียกได้ว่า เปิดมาวันแรก เมืองแรกก็ประทับใจแล้วค่ะ

อยากจะพูดแทนเมืองนี้ว่า “ฉันไม่ใช่ซานโตรินี” และกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า

“ฉันคือซิดิ บูเซอิด” ค่ะ

02 | ตลาดกลางเมืองกลิ่นอายยุคกลาง

🧄เช้าตรู่วันถัดมา จากเมืองตากอากาศริมทะเล เราขยับกลับเข้ามาในเมือง #Tunis ซึ่งมีกลิ่นอายบรรยากาศเมืองแบบยุโรปยุคก่อน ทั้งวิหารเซนต์พอล และตัวถนนแบบ Boulevard และประตูชัย เราจะมาสำรวจกันดูว่าตัวเมืองปัจจุบัน โลคอลที่ผสมผสานของเค้าเป็นยังไง และรักษาของเก่าดั้งเดิมอะไรไว้บ้าง

🥡ไฮไลต์ของเช้านี้คือจตุรัสเมดิน่าแห่งตูนิส #medinadetunis หรือตลาดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง

🥡คำว่า “เมดิน่า” = ตลาดกลางเมือง

ถ้าในภาษาเปอร์เซียร์จะ = บาซาร์ (Bazaar)

🛕ที่นี่ก็เลยคือ Medina de Tunis

🛕เก่าแก่มาก ตัวอาคารในตลาดยังใช้โครงสร้างเดิมที่หลงเหลือตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 เลย!

🛖มีทั้งของพื้นเมือง งานหัตถกรรม ของที่ระลึก ร้านหมวกชาเชีย ซึ่งเป็นของพื้นถิ่นของที่นี่เลย ในตลาดจะมีร้านทำหมวกเก่าแก่ของเค้าโดยเฉพาะ

🫖รวมถึงโรงน้ำชาแบบดั้งเดิมเก่าแก่ที่ใช้เป็นที่แฮงก์เอาต์ด้วย ยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิมมาจนถึงทุกวันนี้ พูดง่าย ๆ ก็คล้ายคาเฟ่ปัจจุบันค่ะ แต่ที่นี่เป็นร้านหรือโรงน้ำชาบรรยากาศเหมือนสมัยโบราณ ที่ไม่ได้โบราณแค่กิมมิก แต่โบราณจริงๆค่ะ

ตัวอาคารในตลาดที่ใช้โครงสร้างดั้งเดิมเป็นพันปี แต่ก็กลมกลืนกับตึกอาคารแบบยุคหลังๆ ได้ เราจะเห็นความเป็นยุโรปบ้าง อิสลามบ้างสลับกันไป ปนกันไป

อากาศช่วงเช้าก็เย็นสบาย ราว 16 องศา มีลมนิดหน่อยกำลังดี เดินเล่นสบาย ๆ ฟิน ๆ เลยค่ะ

.

03 | ใต้เงาโรมัน


#dougga

           

เราออกจากตูนิสในช่วงสาย เดินทางสู่เมือง Dougga (ดุ๊กกา) ใช้เวลาเดินทางจากตูนิสประมาณ 2 ชั่วโมง

            ดุ๊กกามีอะไร? เราได้รับคำบอกเล่าจั่วหัวอย่างน่าตื่นเต้นว่าโบราณสถานที่ดุ๊กกาได้รับสถานะเป็น Unesco World Heritage ในปี 1997 ด้วยนะ

            เอาละสิ มีเมืองมรดกโลกด้วย

            ต้องเล่าแบบนี้ก่อน ตูนิเซียมีตอนเหนือติดทะเลเมดิเตอเรเนียน นางก็เลยอยู่ห่างจากเกาซิซิลีของอิตาลีเพียงร้อยกว่ากิโลเมตร เลยไม่น่าแปลกใจที่ดินแดนตูนิเซียจะได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมความเชื่อจากโรมันมาก อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วตอนต้นว่าเคยถูกโรมันครอบครองอยู่นาน เรียกว่าเคยเป็นเมืองในอาณานิคมของโรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแอฟริกาเหนือเลยก็ว่าได้

เมืองดุ๊กกาที่เรามาชมนี้ เป็นเมืองเก่าในยุคที่คาร์เทจล่มสลาย และพื้นที่เมืองนี้ได้กลายเป็นอาณานิคมหนึ่งของโรมัน จึงจะเห็นความเป็นเมืองเก่าที่มีอารยธรรมดั้งเดิมผสมกลิ่นอายโรมันชัดเจน ทั้งพวกฟอรัม โรงอาบน้ำ วิหารเทพเจ้า อะโครโพลิสต่างๆ ยิ่งใหญ่สวยงามไม่แพ้เมืองเก่าหรืออะโครโพลิสอื่นๆ ในโลกเลยค่ะ

พวกเราต้องเดินขึ้นเนิน ปีนป่ายก้อนหินตามทาง เพื่อสำรวจซากเมืองเก่าที่มีรายละเอียดแบบเมืองโรมันโบราณไว้ครบถ้วน

ที่เพลินประทับใจที่สุดคือฟอรัมกลางเมืองที่เป็นที่ประกอบพิธีบูชาดวงดาวและเทพเจ้า (คือตัววิหารบูชาเทพเจ้าก็มีอีกฟังก์ชั่นคือไว้สักการะบูชา) แต่ฟอรัมที่พูดถึงคือลานประกอบพิธี แม้เป็นลานกว้าง ๆ เหมือนลานทั่วไป แต่เมื่อล้อมด้วยซุ้มวิหารเทพเจ้า และรูปปั้นใหญ่โตที่แม้จะเว้าแหว่งแตกหักบ้าง หากก็ทำให้ดูมีมนตร์ขลังน่าเกรงขามมากทีเดียว

ฟอรัมประกอบพิธี

           

ที่น่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือน้องแมวที่นี่คือ นางอยู่หน้าเขตเมืองเก่า พอคณะพวกเราจะเดินขึ้นไป นางก็กระโดดนำไปเหมือนนำทาง อะ ก็เหมือนบังเอิญเนอะ ทีนี้ ไม่ว่าพวกเราจะเดินไปทางไหน เหมือนนางก็จะรู้ จะเดินนำไปก่อน เหมือนพาทัวร์เลย

           

นางคือเจ้าที่ เอ๊ย เจ้าถิ่นแน่ ๆ

            ปกติเมืองเก่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกแบบนี้ มักจะมีนักท่องเที่ยวแน่นขนัด แต่ที่นี่… เงียบสงบจนเกือบวังเวง ได้ยินแต่เสียงพวกเรากันเองและลมแรงพัดโกรกไปมา เค้าคนน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอหลังโควิดยิ่งน้อยจนแทบไม่มีเลยค่ะ

            จะว่าไปก็น่าเศร้าแทนคนที่นี่นะคะ แต่อีกใจหนึ่ง เราก็ว่าเป็นข้อดีคือทำให้ยังอนุรักษ์ไว้ไม่เสื่อมโทรมไปด้วยนักท่องเที่ยวได้ และยังคงมนต์เสน่ห์ของโบราณสถานเอาไว้ได้ คนมาชมก็สามารถชื่นชมดื่มด่ำได้เต็มที่

คืนนี้เราค้างที่เมืองไครวน (Kairouan) กันค่ะ

04 | Kairouan จากโรมันสู่มัวร์

#kairouan

img_2390-1

            เราถึงเมืองไครวน (อ่านว่า ไค-รวน ไม่ใช่ ใคร-วน นะคะ ฮ่าๆ) ตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้เราก็จะเที่ยวชมในเมืองไครวน เมืองนี้จะจะแตกต่างออกไป เพราะจะเห็นความรุ่งเรืองทางศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม เพราะที่ไครวนนี้เป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมอิสลามมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 นับเป็นศูนย์กลางอิสลามในแอฟริกาตอนเหนือยุคแรก ๆ

เป็นดินแดนที่กษัตริย์ราชวงศ์อักระบัดมาสร้างบ้านแปงเมือง หยั่งรากความเจริญไว้

และเช่นเคย เมืองนี้ก็เป็นอีกเมืองที่ได้รับการขึ้นสถานะเป็น Unesco World Heritage ด้วย

            ที่ไครวนเราจะไม่ได้ไปชมซากเมืองเก่าเหมือนที่ดุ๊กกา แต่จะได้ชมภูมิปัญญาอันชาญฉลาดในการการวางเมือง บริหารเมือง และการเป็นศูนย์รวมใจของชาวเมืองในยุคโบราณโน้น

            ตั้งแต่

1) ระบบดึงน้ำและระบายน้ำแบบโบราณของเมืองไครวน เป็นภูมิปัญญาของชาวทะเลทรายหลายพันปีก่อนว่าสามารถทำระบบน้ำที่ใช้เลี้ยงทั้งเมืองได้ยังไง

            เราได้เห็นอ่างเก็บน้ำอักราบิดที่เป็นหลักฐานการจัดการน้ำในสมัยนั้นที่จะเอาน้ำจากแม่น้ำส่งต่อมายังบ่อน้ำที่ขุดไว้ในเมืองเพื่อให้ประชาชนใช้ เดิมมีเป็น20-30 บ่อ ปัจจุบันมีเหลือไม่กี่บ่อให้เห็น

อ่างเก็บน้ำเก่าแก่ที่ยังเหลืออยู่ ใช้งานจริง

            2) มัสยิดที่เป็นป้อมปราการ :  มัสยิดที่นี่มีลักษณะเป็นป้อมปราการด้วย เพราะต้องทำหน้าที่เรียกคนเข้ามาประจำการข้างในเวลามีข้าศึก พร้อมกับป้องกันนครไปด้วย

ความป้อมปราการของมัสยิด

            3) The Great Mosque of Kairouan หรือมหามัสยิดแห่งไครวน เป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในตูนิเซีย และเก่าแก่ที่สุดในแอฟริกาตอนเหนือ

            พอจะเข้าที่นี่ เราต้องสวมฮิญาบคลุมศีรษะและแต่งชุดยาวหน่อย หรือสำหรับนักท่องเที่ยว ก็สามารถใช้ผ้าพันคอมาคลุมศีรษะเพื่อความเรียบร้อยก่อนเข้าศาสนสถานของเค้าค่ะ เพลินได้รับคำบอกเล่ามาก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้ก็เลยเตรียมผ้าพันคอมาคลุมศีรษะ เลือกสีน้ำเงินให้ตัดกับสีน้ำตาลเหลืองของชุดค่ะ แต่ลมแรงมาก ทำให้ผ้าที่พันคลุมไม่ค่อยอยู่ ผมก็ปลิวไปมาไม่เป็นทรงเลยค่ะ

          

เพลินชอบที่นี่มาก มันดูสวยงามอ่อนช้อยแบบเรียบง่าย ละเอียดลออแบบไม่ตะโกน ศิลปะยุคนี้ได้รับการผสมผสานจากศิลปะพื้นเมืองเบอร์เบอร์ คาร์เธจ กับโรมันจนมาถึงอิสลาม เลยออกมามีลักษณะเฉพาะเป็นศิลปะของตัวเองคือแบบมัวร์ ซึ่งก็จะแตกต่างจากมัวร์ในตอนใต้ของสเปน อย่างทรงโค้งที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะมุสลิมก็จะมีความเป็นเกือกม้ามากกว่าหัวหอม และยังใช้เสาของโบสถ์คริสต์มาเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดด้วย

         

   เอากะเค้าสิ

            เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษในมัสยิดนี้ ค่อย ๆ ดื่มด่ำความงามอย่างเรียบง่ายนั้นทีละนิด ฟังข้อมูลไกด์ให้ความรู้ไปด้วย แต่รายละเอียดเยอะมาก ต่อให้ตั้งใจฟังก็จำไม่ได้ ก็เลยเอามาเล่าถ่ายทอดให้ผู้อ่านทราบเท่าที่เพลินจำได้นั่นแหละค่ะ

ประทับใจ สวยอลังการและคนน้อยดีมาก ๆ

05 | Sbeitla ยิ่งใหญ่ในความเงียบงัน

#sbeitla

img_2406-1

ช่วงบ่ายเราจะเปลี่ยนโหมดไปเมืองโบราณกันอีกหนค่ะ อย่างที่บอกว่าตูนิเซียเป็นรอยต่อ เป็น hub ของอารยธรรมเก่าของโลกที่ถูกมองข้าม นางมีเมืองเก่า เมืองโบราณ โบราณสถาน สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์อยู่เพียบเลย

            บ่ายนี้เราเดินทางสู่เมือง Sbeitla เป็นอีกหนึ่งเมืองโบราณในอาณานิคมของโรมัน ยังมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ทรงคุณค่าอยู่เพียบ

            สบิทลาเคยเป็นเมืองหลวงตูนิเซียในปี ค.ศ. 646  หลังกองกำลังอาหรับรบชนะอาณาจักรไบแซนไทน์ เป็นการเปิดศักราชการพิชิตแอฟริกาตอนเหนือของชาวมุสลิม

            ตัวซากเมืองโบราณนี่ตั้งอยู่นอกเมืองออกมาสักหน่อย แดดเริ่มร้อนแต่ก็เหมือนจะมีฝนปรอย ๆ ตอนเรามาถึงไม่มีนักท่องเที่ยวเลย (อีกแล้ว) อย่างที่บอก ประเทศนี้ค่อนข้างถูก underrated แถมมาเจอโควิด หลังโควิดนักท่องเที่ยวที่น้อยอยู่แล้วก็ยิ่งหายไปเลย

img_2503-1

           

ตอนนั้นมีแค่คนงานท้องถิ่นที่มาดูแลสวน ตัดแต่งกิ่งไม้และดูแลความเรียบร้อย พวกเราเลยเดินตามไกด์ของเราเข้าไปในเขตเมืองโบราณนั้นเหมือนลูกเป็ดเดินตามฝูง มันทั้งกว้าง ทั้งซับซ้อน แต่ละซุ้ม แต่ละส่วนมีเรื่องราว ที่มาของเค้าละเอียดแบบที่ต้องตั้งใจฟังไม่ให้พลาด แต่ก็จำไม่ได้อยู่ดี จำได้แค่บางส่วนนั่นละค่ะ มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับความอลังการ และความซับซ้อนของเมือง

img_2502-1
img_2500-1

           

ให้ฟีลเหมือนตอนมาอะโครโพลิสที่อิหร่าน กับปอมเปอีในอิตาลี คือมีทั้งความเป็นสนามกีฬา เทวสถาน สถานบันเทิง และความเป็นเมือง

ภายในซากเมืองโบราณนี้ถือเป็นแหล่งโบราณคดียุคโรมันที่บ่งบอกความเจริญรุ่งเรืองในอดีตกาลได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกำแพงซุ้มประตู ป้อมปราการ โรงละครกลางแจ้ง ฟอรั่มศาลากลาง โบสถ์คริสต์เตียน อ่างพิธีแบปติส ห้องอาบน้ำ อ่างอาบน้ำที่ปูพื้นด้วยเซรามิก ประดับลวดลาย วิหารเทพ ตลาดและทางเดือนที่ปูลาดเรียงรายด้วยก้อนหินแบบโรมันแท้ ๆ

เพลินเดินช้ากว่าเพื่อนหน่อย เพราะอยากค่อย ๆ ดู เก็บเกี่ยวบรรยากาศ ไหน ๆ ก็ไม่มีคน อาจารย์เชนก็เลยต้องย้อนกลับมาหา กลัวเราหลง และให้ความรู้อีกครั้ง

ตอนเดินผ่านซุ้มประตูเมืองเข้าไปกับอาจารย์ เพลินรู้สึกเหมือนกำลังผ่านประตูมิติเวลากลับไปสู่โลกโบราณเลย มันไม่เกินจริงเลย เพราะรอบด้านมีแต่ความเป็นเมืองโบราณ เราตกอยู่ในวงล้อมของเมืองเก่าโรมันที่แท้ทรู

img_2506-1
img_2504-1

แว่วเสียงอาจารย์อธิบายว่า วิหารเทพเจ้าที่นี่จะใหญ่กว่าที่ดุ๊กกา และจะแยก 3 วิหารสำหรับเทพเจ้า 3 องค์เลย ต่างจากดุ๊กกาที่หนึ่งซุ้มวิหารรวมเทพเจ้าสามองค์

img_2507-1

            นี่คือซากเมืองโบราณยิ่งใหญ่ที่แทบไม่มีคนรู้ ตั้งอยู่เงียบสงบปราศจากนักท่องเที่ยว  อยู่ใจกลางความเวิ้งว้างรอบด้าน untouched ผ่านกาลเวลาอยู่ตรงนั้น ทำให้เราค่อย ๆ ดื่มด่ำสำรวจซากเมืองได้เต็มอิ่ม ไม่ติดนักท่องเที่ยว ไม่ต้องรีบทำเวลา ไม่ต้องเบียดเสียดกะใคร

           

เริ่มใกล้ถึงเวลานัดหมาย คณะพวกเรากระจัดกระจายกันไปคนละที่ อาจารย์เชนเลยอาสาจะไปตามให้ แล้วบอกให้เราสามคนเดอะแก๊งเดินกลับตามทางไปรอที่รถได้เลย

            แวบแรกก็แบบ เราจะกลับถูกไหมนะ มันกว้างใหญ่แล้วก็ดูงง ๆ มาก แต่ก็คุยกันว่า มันก็ดูเป็นพื้นที่โล่งทางราบ น่าจะพอไหวอยู่ ก็เดินกันไป แดดก็เริ่มร้อน

            แต่ปรากฏว่า เงยหน้ามา ที่ไหนคะนี่ ไม่ใช่มุมที่คิดไว้นี่ ไม่มีรถพวกเรา ก็เดินหันซ้ายหันขวา ตายละวา มาหลงทางที่ไหนไม่หลง มาหลงกลางเมืองโบราณสบิทล่า!

            โทรหาอาจารย์ โทรหาเพื่อนคนอื่นก็ไม่รับสาย สามคนก็เดินวน ลองทางใหม่ ซ้าย ขวา ไปมาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก็เจอจุดที่คิดว่าเป็นจุดตั้งต้นตอนเรามาละ

            สักพัก อาจารย์ก็พาชาวคณะที่เหลือเดินเรียงแถวผ่านซุ้มโบราณ ผ่านแนวบันไดหินขึ้นมา พร้อมโบกธงไหว ๆ ก็ค่อย… เฮ้อ โล่งใจ นึกว่าจะหลงมิติอยู่กลางซากเมืองเก่าซะแล้ว

            ก่อนกลับเราก็หันไปมองสบิทล่ากันอีกหน แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดผืนฟ้ากลายเป็นสีส้ม เป็นฉากหลังล้อไปกับสีอิฐเหลือง ๆ ส้ม ๆ ของเมืองโบราณแห่งนี้ แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบงันเช่นนั้นตอนเราหันหลังกลับไป

            มรดกโลกอันยิ่งใหญ่ ตั้งตระหง่านกลางความเงียบงัน โดดเดี่ยว แต่งดงาม

TOZEUR & my First Chichar

จากนั้นเราเดินทางสู่เมือง Tozeur เป็นเมืองการค้าสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของตูนีเซียซึ่งอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายซาฮารา จึงมีคนตั้งฉายาเมืองนี้ว่าเป็นเมืองซาฮาราแห่งตูนีเซีย

มีความโดดเด่นเรื่องการทำเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูงและมีแหล่งโอเอซิสให้เที่ยวชมหลายแห่ง

คืนนี้คุณปั๊บบอกจะพาไปลองชิชาร์ค่ะ เพลินก็ไม่เคยลอง ตื่นเต้นมาก แต่โปรแกรมนี้ แล้วแต่สมัครใจนะ พวกเราจำนวนหนึ่งก็เลยนั่งรถกันมาหลังมื้อเย็น ไปนั่งจิบชาร้อนกันในร้านชิชาร์ ซึ่งเป็นเต๊นท์กลางแจ้ง

เจ้าของก็ได้สาธิตการม้วนชิชาร์ให้ดูแบบสด ๆ พร้อมโฆษณาว่าของเค้ามีรสชาติอะไรบ้าง ซึ่งฟังกันนานกว่าจะเข้าใจว่าพูดถึงอะไร เอาเป็นว่ารส signature ของเค้าคือ ชีคมันนี, เลิฟ และ แอปเปิ้ล

พี่ ๆ แต่ละคนก็สาธิตให้ดูว่าต้องสูดและค่อย ๆ ปล่อยลมยังไง ให้ได้กลิ่นชิชาร์ชัดเจนและนุ่มนวล บางคนก็โชว์ว่าพ่นควันสวย ๆ ต้องทำแบบนี้ ซึ่ง… เพลินก็… มือใหม่ ทำไม่ได้ค่า แต่สนุกดี พออากาศหนาว ๆ จิบชาร้อนๆ สูบชิชาร์ นั่งสนทนากัน ก็เพลิดเพลินเจริญใจดี ได้ประสบการณ์มากๆ

เอาเป็นว่าได้ลองสูบชิชาร์ครั้งแรก ก็ที่ตูนิเซียนี่เอง

06 | THE OASIS

img_2606-1

#Shbika oasis

            เบรกจากเมืองโบราณ จะเข้าสู่ “วิถีชีวิตแบบโบราณ” ละค่ะ

            เช้านี้เราจะเริ่มเข้าเขตทะเลทราย เราต้องแพคกระเป๋าเล็กเตรียมแยกไว้ด้วย เพราะคืนนี้จะค้างกันที่ทะเลทราย รถไม่สามารถเอากระเป๋าใหญ่เข้าไปได้

            เราก็เริ่มวันด้วยการไปเยือนโอเอซิสก่อน ขาไปโอเอซิสนี่เราต้องนั่งรถ 4×4 drive คันละสี่คนออกนอกเมืองโทเซอร์ไปยัง Shbika Oasis เป็นโอเอซิสในดงอินทผาลัมที่ใหญ่ที่สุดในเขตตูนิเซีย และอินทผาลัมก็เป็นอินทผาลัมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ วิวทิวทัศน์ในโอเอซิสก็สวยแปลกตา มีหลายแนวอยู่ในโอเอซิสใหญ่มหึมานี้ ทั้งเหมือนแกรนด์แคนยอน ภูเขาหิน หน้าผา สายน้ำ

            คุณปั๊บแจ้งล่วงหน้าว่าวันนี้ให้สวมรองเท้าที่เหมาะกับเดินปีนป่ายหน่อย ไม่ได้ถึงกับปีนเขา แต่ไม่ได้เดินทางราบ อากาศก็เย็นสบาย ลมพัดกำลังพอดี และแดดก็เริ่มออก ทำให้เดินได้เรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยมาก แม้ว่าจะขึ้นเนิน ลอดถ้ำ ปีนป่ายเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่าเพราะเห็นวิวภูเขาหินเรียงทอดกันเป็นหุบเป็นเทือกสุดลูกหูลูกตา

            เดินเยอะเข้า เริ่มร้อน ต้องถอดเสื้อกันหนาวออกทีละชิ้น ผ้าพันคอก็ถอดเก็บ ผมก็ต้องมัดหางม้าแล้วเพราะเหงื่อเริ่มซึมทั้งหน้าทั้งตัว

            เ

เราเดินกันมาเรื่อย ๆ จนถึงตัวแหล่งน้ำใจกลางโอเอซิส ตรงตาน้ำยังเป็นน้ำใสสะอาดสดชื่นตลอดสาย มีหมอกจาง ๆ ลอยคว้างด้านบนท่ามกลางแสงแดดบนฟ้าใส สวยแปลกตาดีค่ะ

#Tamerza Oasis

            เสร็จจากเชบิก้า เรามุ่งหน้าสู่โอเอซิสอีกแห่ง คือ Tamerza Oasis ซึ่งจะต่างจากโอเอซิสเชบิก้าตรงที่มีลักษณะคล้ายน้ำตกไหลลงมายังแม่น้ำเล็ก ๆ เบื้องล่าง ให้อารมณ์เหมือนชาวคาราวานที่รอนแรมกลางทะเลทรายมานานแล้วได้พบกับน้ำตกกลางทะเลทราย ให้ความชุ่มชื่นแห่งสายน้ำ

            ในอดีตชาวคาราวานก็ได้อาศัยโอเอซิสแห่งนี้ยังชีพนี่ละ พวกเขาจะได้อาบน้ำใสไหลเย็นสบายนี้หลังจากที่รอนแรมมานานหลายวันโดยไม่ได้อาบน้ำ คงรู้สึกเหมือนได้อาบน้ำทิพย์จากสวรรค์เลยละ

#Douz

            หลังจากเต็มอิ่มกับโอเอซิสสองแห่ง เราก็จะเข้าสู่ทะเลทราย เดินทางสู่เมือง Douz ใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมง เราจะเริ่มเห็นทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนไปมากขึ้น จะเริ่มเห็นแต่หิน ดิน ทรายแล้ง ๆ ไม่มีต้นไม้ ภูเขาก็จะเป็นภูเขาหิน เขาดินทรายล้วน เวิ้งว้างว่างเปล่าไม่มีผู้คน เหมือนหลุดมาอีกโลก

            อยู่ใจกลางความว่างเปล่าที่แท้ทรู สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ไม่มีค่า จริง ๆ ก็แอบน่ากลัว ถ้าคนขับเกิดหยุดรถแล้วปล้นขึ้นมาละก็…. หว่ายยยย ไม่อยากคิด

           

#ทะเลสาบเกลือ Chott El Fejaj

img_2726-1

เป็นทะเลสาบที่น้ำเริ่มแห้งขอดจนเห็นแต่ผลึกเกลือสีขาวนวลไกลสุดลูกหูลูกตา

            มีรูปปั้นเจ้าอูฐเด่นเป็นสง่าเป็นสัญลักษณ์กลางความขาวโพลน

            ให้ความรู้สึกเวิ้งว้างเหมือนเดินอยู่บนดาวอื่นเลยค่ะ

img_8061

07 | Lost in Sahara

            จากทะเลสาบเกลือ เราก็เข้าสู่ถิ่นทะเลทรายอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นส่วนเหนือสุดของทะเลทรายซาฮารา เราได้รับบการบอกเล่าเน้นย้ำว่าจะต้องไปถึงให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะไฮไลต์ของวันนี้คือจะได้ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตก เราจะได้เห็นตะวันลับขอบฟ้าจากผืนทรายกับตา

img_2662-1

            เราไปถึงเค้าก็ให้เราเอากระเป๋าเก็บไว้ในรถก่อน เบื้องหน้าเราเป็นทะเลทรายเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ผืนทรายสีน้ำตาลอ่อนอมแดงเหมือนที่เคยจินตนาการทะเลทรายซาฮาร่าเอาไว้เลย

            ที่จริงจะได้ได้เช่าชุดพื้นเมืองขี่อูฐด้วยนะคะ แต่เนื่องจากตั้งแต่ช่วงโควิดก็ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีงบประมาณในการทำนุบำรุงรักษา ชุดพื้นเมืองก็ไม่เคยได้ซักทำความสะอาด เรียกได้ว่าสกปรกมาก เขาก็เลยไม่แนะนำ เราก็เลยไม่เช่า ใส่ชุดที่เรามีนี่ละ

            อูฐของเพลินชื่อมุสตาฟา ขนตางอนเช้ง นางชอบเดินเอียงตัดหน้าอูฐตัวอื่น มันดูร่าเริงและรักเจ้าของมาก เด็กหนุ่มที่จูงอูฐก็ดูรักมันมาก มันก็ดูซ่าก๋ากั๋นขณะนำเราข้ามทะเลทรายไป เราเองก็พลอยสนุกคึกคักไปด้วย

img_8102

            ให้อารมณ์เหมือนพ่อค้ายุคโบราณที่ใช้อูฐเป็นพาหนะในการเดินทางทำมาค้าขายแบบกองคาราวานการค้า ค่อย ๆ มองพระอาทิตย์ลับเนินทรายไป

          

 

อูฐที่นี่ขี่ไม่ยากเหมือนอูฐในทะเลทรายธาร์ที่เพลินเคยไป คงเป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ เป็นเนินทรายที่ค่อนข้างเรียบเสมอกัน และกว้างใหญ่

            อากาศเริ่มเย็นลง ลมโกรก แต่ไม่ถึงกับหนาวเกิน กำลังเย็นสบาย เป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ ยิ่งพอพระอาทิตย์ตกไปนี่ยิ่งจับตาจับใจสุด ๆ  พอตะวันตกแล้วท้องฟ้าก็กลายเป็นสีชมพูเหลืองแปลกตา สวยมากกกกก ตกตะลึงตาค้างไปเลย

Living a Desert Life

คืนนี้เรานอนในกระโจมทะเลทราย ซึ่งว่ากันว่าเป็นหนึ่งในรีสอร์ตกระโจมกลางทะเลทรายที่ดีที่สุดในตูนิเซีย

img_2540-1

แต่…. โควิดทำพิษ กิจการหลายแห่งในตูนิเซียไม่สามารถฟื้นตัวได้ ที่พักต่าง ๆ ขาดงบการทำนุบำรุงปรับปรุงจนทรุดโทรมไป ทำให้กระโจมอันสะดวกสบายที่เราวาดฝันไว้ต้องฝันสลายเอาดื้อ ๆ

เริ่มจากที่นอนเก่าเหลืองจนมองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าเราจะนอนที่นี่กันจริง ๆ ใช่มั้ย หมอนก็… เยินดำมากจนเอ… เราจะวางหัวเราบนหมอนนี่จริง ๆ นะหรือ

ส่วนห้องน้ำในเต็นท์คือเก่าโทรม คราบดำคราบเหลืองเกาะเต็มทุกอณู และที่ช็อกที่สุดคือ… น้ำเป็นสีเหลืองค่ะ!

ประกอบกับอากาศที่หนาวเย็นมาก ทำให้เราตัดสินใจกันว่าจะซักแห้ง ไม่อาบน้ำ คงไว้แต่การล้างหน้าแปรงฟัน ล้างเท้า และล้างอะไรที่ต้องล้าง… ด้วยน้ำขวดที่เราตุนกันมา กับทิชชู่เปียกค่ะ

และ… เนื่องจากเค้าปั่นไฟใช้ ฮีตเตอร์ในกระโจมก็เลยติด ๆ ดับ ๆ หนาวมากแม่

อาจารย์เชนเล่าว่าสมัยก่อนโควิด นางนำลูกทัวร์มาพักกระโจมแห่งนี้บ่อยครั้ง เป็นภาพจำถึงความสนุกสนาน คึกคัก รุ่งเรือง สวยงามของที่นี่ มีปาร์ตี้รอบกองไฟ ทุกแห่งสะอาดสะอ้าน ได้รับการบำรุงดูแลทำความสะอาด พอมาเห็นแบบนี้นางก็ช็อกจ๋อยไปเลยและขอโทษขอโพยกันใหญ่ แต่เราก็ไม่เป็นไร บอกว่าเป็นประสบการณ์ค่ะ ครั้งหนึ่งในชีวิต

#Eating Camel meat

            มื้อเย็นนี้ได้ลองชิมเนื้ออูฐค่ะ ทำมาเป็นสตูว์ เนื้อนุ่ม จริง ๆ เรากินได้นะไม่มีปัญหา แต่รู้สึกว่าเหม็นกลิ่นสาบคล้ายเนื้อวัวหน่อย เลยทำให้ทานได้ไม่เยอะ (เพลินไม่ทานเนื้อวัว)

            อาหารตูนิเซียเหมือนกันทั้งประเทศ ไม่ค่อยมีอะไรหลากหลายมาก ส่วนมากเราก็จะทานกันแต่ในโรงแรมที่พัก อย่างคืนนี้เรานอนในรีสอร์ตก็กินอาหารที่รีสอร์ตเตรียมให้ ก็จะมีข้าว มีแป้ง น้ำผึ้ง น้ำมันมะกอก และสลัดง่าย ๆ

#ดูดาวกลางทะเลทราย

เรื่องที่ประทับใจที่สุดคือการดูดาวกลางทะเลทรายนี่แหละ

เรากับกลุ่มแก๊งบางส่วนตามคุณปั๊บออกมาหามุมเหมาะๆ ดูดาว แม้จะหนาวมาก อากาศคือลดลงเหลือเลขตัวเดียว เสื้อผ้าก็ไม่ค่อยจะพอ ไอเริ่มออกปาก แต่ก็… สู้มาก

ไม่เคยเห็นดาวกระจ่างเต็มฟ้าเยอะขนาดนี้มาก่อน และได้เห็นทางช้างเผือกด้วย คือสตั๊นไปแบบน้ำตาจะไหล รู้สึกถึงพลังงานท่วมท้นบอกไม่ถูก นั่งคุยนั่งเล่านั่งฟังตำนานดวงดาวต่าง ๆ และใช้แอปดูดาว ส่องหาตำแหน่งดาวไปด้วย

แถมยังมีดาวตกอีกต่างหาก อธิษฐานขอพรกันรัวๆ เลย

เสียดายถ่ายไม่ติดดาวค่ะ เพราะใช้กล้องมือถือ

Fact and my Note

ตอนกลางและตอนใต้ตูนีเซียจะเริ่มเข้าเขตทะเลทรายซาฮารา ซึ่งเป็นทะเลทรายที่น่าจะใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ซึ่งตัดกับภาคเหนือของประเทศโดยสิ้นเชิงที่เป็นพื้นที่ราบลุ่มฝนตกชุ่มฉ่ำเพราะติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

พอเข้าสู่พื้นที่ทะเลทรายของที่นี่ก็คือพื้นทรายจริง ๆ นะ แบบแทบจะไม่มีต้นไม้เลย ถ้าจะมีก็มีเป็นกระจุกตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่เกิดจากตาน้ำในดินก็คือโอเอซิสนั่นเอง ทะเลทรายบางแห่งเราจะเห็นเกลือสีขาวๆ บนผืนดินเพราะเดิมตรงนั้นเคยอยู่ใต้มหาสมุทรมาก่อน

อาหารการกินที่นี่แทบจะไม่ค่อยหลากหลาย กินตามมีตามเกิด สังเกตว่าคนใช้แรงงานที่นี่เขาจะกินอินทผาลัมแห้งเป็น snack อินทผาลัมหวานก็จริง แต่ความหวานมาจากธรรมชาติ (unrefined sugar) ไม่ได้เกิดจากการแปรรูป จึงไม่มีโทษมากหากเทียบกับน้ำตาลทรายขาว แล้วยังมีก้อนแป้งสาลีที่เขาหมักจนขึ้นฟูและมาอบกับกระทะ กินกับเนื้ออูฐ

มี Desert Rose ด้วย  เป็นผลึกยิปซัมที่ที่เกิดเป็นชั้น ๆ ซ้อนเป็นกุหลาบพบตามธรรมชาติที่นี่ สัมผัสแล้วเหมือนได้รับพลังงานฮีลลิ่งจากทะเลทราย

img_2525-2-1
Desert Rose

09 | Matmata -Chenini

เราเดินทางออกจากเขตทะเลทราย ออกจากเมืองดูซก็จริง แต่ภูมิประเทศก็ยังดูไม่ได้เปลี่ยนมาก เหมือนอยู่นอกโลก อยู่ดาวอื่นอยู่ดี นั่งรถกันหัวสั่นหัวคลอนหลายชั่วโมง แต่ก็เพลิดเพลินกับวิวแปลกตาที่ไม่เหมือนโลกที่คุ้นเคยเลย

ที่จริงเราต้องตรงไปเมือง “แมทมาท่า” (#Matmata) แต่คุณไกด์ใจดี แอบแวะหมู่บ้านโบราณที่เมือง #Chenini ให้ก่อน

Chenini

img_2551-1

เป็นเมืองที่ขุดภูเขาดินเป็นที่อยู่อาศัย เราก็ค่อย ๆ เดินขึ้นเนินไต่ระดับเข้าไปสำรวจตามแนวดิน แนวหินที่เป็นตัวบ้านอาศัยในภูเขาดินนั้น มองลงไปข้างล่างเห็นทิวทัศน์เมืองกว้างไกล บรรยากาศเหมือนตกไปในโลกยุคโบราณจริง ๆ

ใช้เวลาที่เชเนนไนสักพักใหญ่ ๆ ถึงจะเดินทางต่อสู่เมือง “แมทมาท่า” (Matmata) ดาราแห่งภาคใต้

Matmata ดาราแห่งภาคใต้

เป็นเมืองขนาดเล็กที่ยังคงมีชาวเบอร์เบอร์บางส่วนอาศัยอยู่ในบ้านใต้ดินแบบดั้งเดิมหรือที่เรียกว่า “บ้านหลุมโทรโกลไดท์” (Troglodyte) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ใช้การขุดหลุมขนาดใหญ่เป็นปล่องลึกลงไปในพื้นดินและหินราว 5-10 เมตร จนเกิดเป็นลานกว้าง จากนั้นขุดเจาะตามแนวกำแพงปล่องเป็นโพรงถ้ำเพื่อใช้เป็นห้องต่าง ๆ

บ้านดินที่เราไปดูยังเป็นบ้านที่มีคนอยู่อาศัยจริง เขาต้อนรับเราด้วยขนมแป้งคล้ายบามโบลินีกับน้ำชา ให้จิ้มกับน้ำมันมะกอกที่ผสมน้ำผึ้ง ผู้คนที่ยังอยู่จริงก็อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็ได้พักหลบลมหนาวและสายฝนที่เริ่มโหมกระหน่ำซักครู่ พูดคุยและจิบชา กินขนมแป้งจิ้มน้ำมันมะกอกน้ำผึ้งก็ฟินดีค่ะ

10 | Star Wars Scene

ไฮไลต์อีกแห่งคือได้ไปแวะเสพบรรยากาศสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำหนัง Star Wars ที่โรงแรม Sidi Driss ด้วย ได้เห็นว่าอ้าว… ฉากที่ดูอลังการมากในหนัง หน้าเซ็ตสถานที่จริง เล็กนิดเดียว แต่ก็ว้าวดีน้า

จากนั้นเดินทางต่อสู่เมืองกาเบส (Gabes) เป็นเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของตูนิเซีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งอ่าวกาเบส จึงดูเหมือนเป็นโอเอซีสชายฝั่งทะเลเพียงแห่งเดียวของประเทศ เลยจะเห็นวิวแปลกตา มีทั้งโรงงาน โอเอซิสกลางทะเลทราย และชายฝั่ง

ตามด้วยเมืองสแฟกซ์ (Sfax) เราจะค้างคืนกันที่เมืองนี้ค่ะ

สแฟกซ์เป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนที่สำคัญเมืองหนึ่งของตูนิเซีย เป็นเมืองที่สร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 849 บนซากปรักหักพังของเมืองโบราณาทาปารูราและธาเอเน เมืองนี้เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตปุ๋ยฟอสเฟต นับได้ว่าเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของเมือง นอกจากนั้นยังมีรายได้จากการเกษตรกรรมซึ่งก่อให้เกิดผลิตผลพวกน้ำมันมะกอก ผลมะกอก ถั่วต่าง ๆ รวมถึงการประมงด้วย

สแฟกซ์เองยังเป็นสะพานปลา ท่าเรือประมงแห่งแรกของตูนิเซียอีกด้วยค่ะ

เกบส์กับสแฟกซ์นี้ไม่ได้มีที่เที่ยวอะไรเป็นพิเศษ ก็นั่งรถผ่านเท่านั้น เลยไม่ได้มีอะไรพูดถึงหรือมีภาพมากฝากเท่าไหร่

            พรุ่งนี้เราจะเปลี่ยนบรรยากาศ กลับไปเมืองโบราณ เก็บมรดกโลกกันอีกครั้งค่ะ

11 | โคลอสเซียมที่โลกลืม

เช้าวันถัดไป เราเดินทางสู่เมือง El Jem เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกของตูนิเซีย ในอดีตกาลเป็นหนึ่งในเมืองอาณานิคมโรมันที่สำคัญที่สุดในแอฟริการองจากคาร์เธจ

ณ เอลเจ็มแห่งนี้ยังมีมรดกของโรมันหลงเหลืออย่างที่เมืองอื่นไม่มี โดยเฉพาะไฮไลต์อย่าง “โคลอสเซี่ยม”

img_2571-1

Colosseum และ Amphitheatre แห่ง El Jem นี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 230-238 เป็นโคลอสเซียมที่ใหญ่โตพอ ๆ กับโคลอสเซียมในกรุงโรม กว้างประมาณ 122 เมตร ยาว 148 เมตร สูง 35 เมตร จุผู้ชมได้ถึง 35,000 คน เคยใช้เป็นที่ทำการแสดงต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ป่าอย่างเหี้ยมโหดเป็นมหรสพให้คนโบราณมาอย่างโชกโชน

ที่นี่ยังได้รับสถานะเป็น UNESCO WOLRD HERITAGE ในปี ค.ศ 1979 อีกด้วย

และที่ทุกคนไม่ค่อยรู้ คือ โคลอสเซี่ยมแห่งนี้เคยถูกใช้ถ่ายทำหนังเรื่อง Gladiator ด้วยแหละ!

ทุกวันนี้ เสียงคำรามของเหล่าสัตว์ร้าย และเสียงโหยหวนเจ็บปวดของเหล่านักสู้ ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงไพเราะจากวงออร์เคสตร้าและโอเปร่าแสนเสนาะโสตในงานดนตรีคลาสสิกที่จัดขึ้นที่นี่ทุกฤดูร้อน

ความประทับใจของเรากับที่นี่ (และในอีกทุกโบราณสถานที่ไปเยือนที่ผ่านมาของตูนิเซีย) คือ เค้ามีความยิ่งใหญ่อลังการที่เป็นหลักฐานความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในอดีตหลายที่ และยืนหยัดผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน แต่ไม่ค่อยมีคนรู้ ไม่ค่อยมีคนสนใจ คนไม่รู้จักตูนิเซีย ไม่รู้ว่าเค้ามีโคลอสเซียมยิ่งใหญ่มาก ไม่รู้เค้ามีซากเมืองโบราณเก่าแก่และยิ่งใหญ่พอๆ กับปอมเปอี กรีซ ตุรกี โรม อียิปต์ เปอร์เซีย

ตอนที่เรามาเยือนคือไม่มีนักท่องเที่ยว…​ยิ่งหลังโควิดคือร้าง ไม่ต้องค่อยเบียดเสียดนักท่องเที่ยว ค่อยๆ เดินสำรวจเมืองโบราณ วิหาร โคลอสเซียม มิวเซียม ทุกที่ ดื่มด่ำกับความละเอียดประณีตยิ่งใหญ่

เค้าอยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนาน ไร้คนสนใจ ไร้คนพูดถึง

ทั้งน่าเศร้าและน่าเสียดายไปพร้อม ๆ กัน

12 | Sousse

เดินทางกันต่อถึงเมืองซูส (Sousse) ที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งของอ่าวฮัมมาเม็ตในทะเลเมดิเตอเรเนียน และยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูสส์

เรามีเวลาเดินเล่นชมเมือง ซื้อของประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ Medina de Sousse หรือตลาดกลางเมืองซูส มีห้างด้วย แต่ก็เหมือนห้างโบราณๆ ที่ไม่มีคนเดิน

เราเลยอยากจะเดินชมเมืองแทน มีความเป็นเมืองโบราณแบบยุโรป มีความฝรั่งเศสนิด ๆ ผสมกลิ่นอายเมดิเตอเรเนียน และความพื้นถิ่นของตูนิเซียอย่างบอกไม่ถูก

img_2579-1

วันนี้ลมแรง อากาศเย็น และฝนทำท่าจะตก พวกเรารีบเดินไปชมมัสยิดหลวงกลางเมือง แต่เค้าไม่เปิดให้เข้าชมในช่วงบ่ายและกำลังทำพิธีสวดกันอยู่

พวกเราก็เลยรีบเดินต่อก่อนที่จะหมดเวลา ไปยังวิหารของพวก Sufit ซึ่งเป็นชาวมุสลิมที่ใช้วิธีการเข้าถึงพระเจ้าด้วยวิธีกึ่งพุทธ ได้ปีนขึ้นไปบนหอคอยสูงชันแล้วก้มลงชมวิวเมืองและวิวทะเลเมดิเตอเรเนียนกว้างไกลอีกด้วย

แล้วฝนก็ตกโครมลงมาข่า

ตบท้ายวันด้วยการเดินทางจากซูส เข้าตูนิสอีกครั้ง แวะชิมไวน์ท้องถิ่นตูนิเซียที่มีรสชาติเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของเค้า ราคาไม่แพงด้วยค่ะ

คืนนี้เราค้างที่ตูนิส พักโรงแรมเดิมที่พักคืนแรกค่ะ

13 | National Museum of Bardo

img_2589-1

#bardo

            เช้านี้พิเศษหน่อย คุณไกด์แอบแถมนอกโปรแกรม พาเราไปพิพิธภัณฑ์บาร์โด (National Museum of Bardo) พิพิธภัณฑ์งานศิลปะโมเสกที่ใหญ่ ละเอียด และสมบูรณ์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ได้รวบรวมงานโมเสก ตามคฤหาสน์ ปราสาท หรือโบราณสถานมาเก็บรักษา จัดแสดงไว้ไม่ให้เสื่อมหรือผุพังตามเวลา

14| Carthage

            จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่เขตนครเก่าของนครคาร์เธจซึ่งอยู่นอกตูนิสไปครึ่งชั่วโมง ที่นี่คือจุดกำเนิดของ “อาณาจักรคาร์เธจ” อันเลื่องชื่อในฐานะที่เคยเป็นคู่ต่อกรของอาณาจักรโรมันอย่างสมน้ำสมเนื้อมากที่สุด

โบราณสถานเมืองการค้ายุคก่อนคริสตกาลแห่งนี้ก็ยังมีความน่าสนใจและควรค่าแก่การเที่ยวชม ทั้งซากของตัวเมือง ท่าเรือโบราณที่อยู่หน้าตัวเมือง วิหารเก่าแก่และโรงอาบน้ำโรมันที่ถือกันว่าอลังการที่สุดในโลก และได้รับสถานะเป็น Unesco World Heritage อีกด้วยค่ะ

ได้ไปชมท่าเรือที่เคยยิ่งใหญ่จนโรมันพ่ายแพ้ และโรงอาบน้ำที่ว่า แต่มีเวลาชมแค่แป๊บเดียวก็ต้องรีบไปขึ้นเครื่อง แต่ก็ทึ่งอยู่ดีเพราะกว้างใหญ่มากเหมือนเมืองย่อมๆ เลยทีเดียว

=========

            เผลอแป๊บเดียวก็เดินทางมาถึงวันที่เก้า ต้องกลับแล้ว รู้สึกเหมือนเดินทางมาเป็นร้อยวันแล้ว เหมือนหนึ่งวันพันเหตุการณ์ อยู่เมืองตากอากาศชายทะเลอยู่ดี ๆ ก็หลุดเข้าไปในเมืองโบราณเก่าแก่ และก็พลัดหลงเข้าไปในทะเลทราย มีโอเอซิส และผืนดินเวิ้งว้างบนดาวดวงอื่น แล้วก็กลับสู่โลกปัจจุบันบนท่าเรือคาร์เธจเก่าแก่อีกครั้ง

            นี่ละ ตูนิเซีย เพชรเม็ดงามที่ซ่อนอยู่ในก้อนดิน เคลือบอยู่ในโคลนตม รอวันให้โลกหันมาเห็น ทำความสะอาดและเจียระไนให้ส่องแสงแวววาวงดงาม
            นางเป็นแหล่งอารยธรรมโลกที่เก่าแก่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่ไหนเลย ถึงนางจะไม่ต้องการเรียกร้องความสนใจ (Because Beautiful things don’t ask for attention. ความงามแท้จริงไม่เรียกร้องความสนใจ) แต่เราก็เสียดายที่โลกจะไม่รู้จักนาง
            ก็หวังว่าบล็อกเล็ก ๆ ของเพลินจะช่วยเป็นประตูบานหนึ่งที่ทำให้คนรู้จักตูนิเซียมากขึ้น จุดประกายให้อยากเดินทางไปสำรวจประเทศนี้ ค้นพบความยิ่งใหญ่รุ่งเรืองของนาง ปลุกนางจากความหลับไหลขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประเทศที่เงียบเชียบเหงาเศร้านี้จะได้โลดแล่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

       

ตูนิเซียลำบากไหม?

  ขอสรุปให้ง่าย ๆ ว่าถ้ามองหาความสะดวกสบาย ประเทศนี้ไม่ตอบโจทย์ แต่ก็ไม่ได้ลำบากกันดารจนเหลือทนเหมือนอินเดียอะค่ะ

  • ไม่สะดวกสบายมาก แต่ไม่ลำบาก ถ้าต้องการพรมแดง กินหรูอยู่สบายอย่างราชา ไม่ควรมา
  • อาหารการกินค่อนข้างแร้นแค้น ไม่ค่อยมีอาหารหลากหลาย มีแต่ข้าว สลัด และเนื้อไก่ เนื้ออูฐเล็กน้อย คนทานยากจะลำบาก
  • ไม่มีคาเฟ่ ไม่มีร้านอาหาร มีแต่ร้านน้ำชา
  • อาหารต้องกินในโรงแรมหรือที่พักเป็นหลัก ซึ่งมีให้เลือกไม่เยอะ
  • โรงแรมแม้จะเป็นโรงแรมใหญ่ มีการบริการมาตรฐานยุโรป แต่ก็เป็นโรงแรมเก่า เครื่องใช้เก่า และน้ำเป็นสีเหลืองบ้างบางโรงแรม
  • ซูเปอร์มาร์เก็ตไม่มีขนม อาหาร ของสดหลากหลาย มีแต่ของเก่า
  • ประเทศค่อนข้างยากจน แต่คนก็เป็นมิตรและขี้อายไปในตัว
  • ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยมาก เหมือนประเทศที่อยู่ในยุค 30-50 ปีที่แล้ว
  • แต่ไม่ได้ยากลำบาก แร้นแค้นกันดารขนาดนั้น แค่ไม่อุดมสมบูรณ์

ข้อแนะนำ

  • เหมาะกับคนชอบประวัติศาสตร์ ชอบท่องโลก เรียนรู้ชีวิต อารยธรรม สัมผัสผู้คน วัฒนธรรมหลากหลาย
  • รักการผจญภัย ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เปิดใจกว้าง
  • กินง่าย อยู่ง่าย

ประสบการณ์ส่วนตัว

            เพลินเป็นคนไม่ได้ชอบลำบากหรือผจญภัยจัด ๆ หรือเอกซ์ตรีม แต่เป็นคนชอบเดินทาง ชอบผจญภัยแต่พอดี ชอบเรียนรู้ ชอบประวัติศาสตร์ อารยธรรม วัฒนธรรม ชอบลองอะไรใหม่ ๆ  แบบมีขอบเขตที่ปลอดภัยและไม่หลุดโลกเกิน

เพลินเป็นคนรักสบาย ไม่ชอบลำบาก แต่เป็นคนกินง่าย ดังนั้น ไปเที่ยวที่ไหนจะไม่มีปัญหาเรื่องกินอาหารท้องถิ่นไม่ได้ ซึ่งถือว่าตัวเองโชคดี แต่สำหรับใครที่ทานยาก หากรู้ตัวก็เตรียมขนมอาหารยังชีพตัวเองให้พร้อม ก็ไม่เป็นปัญหาแล้วค่ะ

            เพลินจะมีปัญหาเรื่องห้องน้ำ ไม่ชอบห้องน้ำสกปรกค่ะ ถ้าตามที่เที่ยวก็พอทน แต่ในที่พักนี่ไม่ได้เลย ขอห้องน้ำสะอาดค่ะ

ดังนั้น ด้วยเงื่อนไขความเป็นเพลิน เพลินสามารถเที่ยวตูนิเซียได้ไม่มีปัญหา สนุกมาก มีความสุขมาก และตื่นตาตื่นใจมาก และค่อนข้างวางใจ สบายใจเพราะมากับทัวร์ที่มีประสบการณ์ ทั้งประสบการณ์การทำทัวร์รูทแปลก ๆ ทั้งความรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศที่ไป ทำให้การท่องเที่ยวทริปนี้ที่ดูเป็นประเทศ Exotique ราบรื่นและประทับใจค่ะ

โปรดติดตามทริปต่อไปค่ะ

Ploen The Journey

Contact

http://www.ploen-thejourney.com

Facebook: @ploenthejourney (เที่ยวเพลิน – Ploen The Journey)

Instagram : @ploenthejourney

Youtube: Ploen The Journey

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.