สวัสดีค่ะ วันนี้ “เที่ยวเพลิน” จะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศเที่ยวลอนดอน เติมเต็มความฝันชะนีสาว ๆ อย่างเรา ๆ ด้วยนิทรรศการโอ กูตูร์ (Haute Couture) หรูหราอย่าง Christian Dior : Designer of Dream ในพิพิธภัณฑ์ Victoria & Albert (V&A) ที่แค่เห็นก็น้ำตาไหลด้วยความตื้นตันแล้ว


Christian Dior : Designer of Dream
เป็นนิทรรศการหมุนเวียน จัดแสดงจนถึงวันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2019 และได้รับความสนใจอย่างมาก คนแห่แหนมารอชมทำให้คิวแน่นเอี๊ยด เต็มแบบแน่นเว่อร์และยาวเหยียด บอกเลยว่าควรจองออนไลน์ล่วงหน้านะคะ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องไปต่อคิวตั้งแต่เช้าตรู่ค่ะ แต่ยังไงก็คุ้มค่าการต่อคิวรอคอยแน่นอน
ในนิทรรศการนี้เราจะได้ชมชุดเสื้อผ้าดิออร์ละลานตาตั้งแต่ยุคแรก ๆ เรื่อยมา ได้เห็นตั้งแต่เนื้อผ้า และลวดลายวิจิตร แพทเทิร์น คัตติ้งตัดเย็บเนี้ยบ ประณีต ละเอียด (ถึงบอกว่าดูแล้วต้องน้ำตาไหลอ่ะ) ทำให้เราได้เห็นวิวัฒนาการรูปร่างผู้หญิง และความนิยมในสมัยนั้นด้วย
นอกจากชุดเสื้อผ้าที่สวย เรียบ หรูจนต้องเก็บไปฝันแล้ว ยังจัดแสดงของดิออร์อื่น ๆ ทั้งเครื่องประดับ ภาพถ่ายและวิดิโอแฟชั่นเซ็ต น้ำหอมดิออร์ดั้งเดิม เมคอัพ ภาพวาดยุคแรก ๆ ไปจนถึงของใช้ส่วนตัวบางส่วนของ Chirstian Dior อีกด้วยค่ะ

การจัดแสดงครั้งนี้พาเราย้อนรอยดิออร์ซึ่งถือเป็นนักออกแบบและช่างตัดเย็บชั้นสูงผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ปี 1947จนถึงปัจจุบัน ให้เห็นวิวัฒนาการจนถึงอิทธิพลที่ดิออร์มีต่อวงการแฟชั่นมายาวนาน และสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างดิออร์กับอังกฤษอีกด้วย
ดิออร์เคยกล่าวไว้ว่า “There is no other country in the world, besides my own, whose way of life I like so much. I love English traditions, English politeness, English architecture. I even love English cooking.” Christian Dior
เพลินขออนุญาตแปลง่าย ๆ เองว่า
“นอกจากบ้านเกิดผมแล้ว ไม่มีประเทศไหนไหนโลกที่จะผมจะชอบวิถีชีวิตได้มากขนาดนี้แล้ว ผมชอบธรรมเนียม ชอบความสุภาพผู้ดีอังกฤษ ชอบสถาปัตยกรรมอังกฤษ ชอบกระทั่งทำอาหารอังกฤษ”
มาดูกันค่ะ

New Look
ชิ้นที่เพลินชอบและเป็นไฮไลต์ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “Bar Suit” ในคอลเลคชั่น New Look ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นที่สั่นสะเทือนวงการการแต่งตัวของผู้หญิงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ
จากเดิมแฟชั่นผู้หญิงจะเป็นเสื้อไหล่กว้าง กระโปรงสั้นทรงตรง ฉีกแนวไปเป็นเสื้อไหล่แคบ กระโปรงยาวกว้าง ออกแบบให้หรูหรา มีกระโปรงบานฟูฟ่องให้ผู้หญิงรู้สึกสดชื่นเหมือนดอกไม้บาน เรียกได้ว่าคอลเลคชั่นนี้ปฏิวัติวงการแฟชั่นของสุภาพสตรีโดยสิ้นเชิง

Bar Suit
ชิ้นนี้ถือเป็น Iconic piece ในคอลเลคชั่นค่ะ มิวเซียมได้มาเมื่อปี 1960 ไม่มีป้ายดิออร์ตรงคอเสื้อด้านใน แต่มีคำว่า BAR อยู่ตรงสาบเสื้อด้านในแทน
ลักษณะพิเศษคือตัวเสื้อมีทรงที่เรียกว่า T-cup shape พอเปิดชายเสื้อสองด้านขึ้นจะเห็นเป็นรูปครึ่งวงกลม ขนาด 3 เท่าของรอบเอว

ส่วนกระโปรงถือว่าหนักมาก ตัวพลีตเย็บมือทำให้กระโปรงอยู่ทรง แล้วแนบพอดีไปกับสะโพก ที่สำคัญคือใช้ผ้าเยอะมาก
มาดูความงามหรูหราของชุดอื่น ๆ กันค่ะ


แบบอียิปต์ก็มี สวยดีค่ะ













ประวัติ Christian Dior
เชื่อว่าหลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว จะขอเล่าคร่าว ๆ ก็แล้วกันนะคะ
Chirtian Dior (อ่านว่า คริสติออง ดิออร์) เป็นชาวฝรั่งเศสโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 1905 ที่เมืองกรองวิลล์ (Grandville) ประเทศฝรั่งเศส เกิดในครอบครัวที่มีธุรกิจขายปุ๋ย และส่งเสริมให้เขาเข้าเรียนรัฐศาสตร์การทูตที่ École des Sciences Politiques
แต่ดิออร์ชื่นชอบในศิลปะและแฟชั่น จึงหารายได้พิเศษด้วยการรับสเก็ตช์ภาพแฟชั่นในราคา 10 เซ็นต์ ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานามากมายจนเริ่มเข้าวงการแฟชั่นเต็มตัวในปี 1930 พัฒนาฝีมือตัวเองมาตลอดจนผลงานเข้าตา Robert Piguet ดีไซน์เนอร์ชื่อดังจนได้มีผลงานร่วมกันในปี 1938 สั่งสมประสบการณ์และร่วมงานกับดีไซนเนอร์ชื่อดังอีกหลายคนจนกระทั่งเปิดบูทิคของตัวเองได้ในปี 1946
หลังสงครามโลกได้สร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นที่ปฏิวัติแฟชั่นสตรีด้วยคอลเลคชั่น New Look
หลังจากนั้นจึงออกไลน์น้ำหอม Miss Dior ตามด้วยเครื่องสำอาง
ดิออร์มีผลงานออกสู่ตลาดแฟชั่นอยู่ไม่ขาดสาย ทั้งOval Line , Open Tulip , Long Line ,Tulip Line, หรือ A Line , H Line และส่งท้ายในปี 1957 ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง Fuseau Collection หรือ Spindle ออกมา และเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในปี 1957
Quick summary
Event: Christian Dior : Designer of Dream
Place: V & A Museum (Victoria & Albert)
Location: Sainsbury Gallery
Opening times: เปิดทุกวัน 10.100-17.45
วันศุกร์ 10.00-22.00
นิทรรศการปิด 15 นาทีก่อนเวลาปิดพิพิธภัณฑ์
** จัดแสดงตั้งแต่วันนี้ – 1 September 2019 **
Ticket Price: 20-24 £
How to book: ต่อคิวซื้อได้ที่มิวเซียมตั้งแต่ 10.00 น. หรือจองออนไลน์ล่วงหน้าได้ที่ >> https://www.vam.ac.uk/shop/whatson/index/view/id/11424
How to go: นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน (Piccadilly Line) ลงที่สถานี South Kensington จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
สรุปแล้วคือดีงาม ตื่นตา ตื่นใจ อยากลองใส่สักครั้ง ฮ่าๆๆๆๆ ความฝันของชะนีสาว
จบแล้วค่ะ ผิดพลาดยังไงขออภัยนะคะ ข้อมูลประวัติและรายละเอียดแฟชั่นไม่แน่นมากเพราะมัวแต่ละลานตากับความสวยงาม
ควรค่าแก่การเยี่ยมชมค่า
ขอบคุณค่ะ
Ploen The Journey