ทริปสิงคโปร์รอบนี้เป็นทริปทานของอร่อย และไหว้พระ และชม Garden by the Bay ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน สิงคโปร์เป็นเมืองเล็กที่เดินทางสะดวกด้วยการเดินและรถใต้ดินก็จริง แต่อากาศร้อนทำให้เราไม่สามารถอัดโปรแกรมได้เยอะค่ะ
สามารถดูสรุปค่าใช้จ่ายและการเดินทางได้ที่ท้ายบล็อกนี้นะคะ
Day1
ออกเดินทางตอนหัวค่ำ โดยสายการบิน Singapore Airlines ไฟลต์ 20.00 น. ที่เลือกเวลานี้เพราะตอนไปถึงจะได้นอนพักผ่อนเอาแรงสำหรับวันถัดไป และจะได้เที่ยวเต็มวันได้ค่ะ
ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินนานาชาติ Shangi Airport เวลา 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น สิงคโปร์เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงค่ะ
เมื่อถึงสนามบินผ่านการตรวจตม. เอากระเป๋าอะไรเรียบร้อยก็ซื้อบัตรเดินทาง EZ Link ที่ใช้เดินทางรถไฟใต้ดิน (Mrt) ได้และซื้อของในเซเว่นได้ เป็นบัตรแบบ Top up เติมเงินเอา สะดวกดีค่ะ ที่เลือกแบบนี้แทนซื้อแพคเดินทาง หรือพวก Pass เพราะเราไม่ฟิกซ์ตายตัวว่าจะนั่งใต้ดินเยอะแค่ไหนด้วยค่ะ
ออกบัตรได้ที่ชั้นล่าง ไม่ไกลจากจุดเรียกแทกซี่ค่ะ ค่ามัดจำในบัตร 5 สิงคโปร์ดอลล่าร์ และต้องไปเติมเงินที่สถานีหรือในเซเว่นก็ได้
นอกจากซื้อบัตรแล้วเพลินยังซื้อบัตรเข้าชม Garden by The Bay สวนลอยฟ้า ไฮไลต์แห่งใหม่ของสิงคโปร์ไปด้วยเลย ซึ่งมีโปรโมชั่นพอดี 2 คน 48 เหรียญ ทริปนี้เรามากัน 3 คน คนที่ 3 ซื้อเดี่ยวราคา 25 เหรียญ เท่ากับ 3 คน 73 เหรียญ ก็ประมาณ 1,825 ฿ เฉลี่ยต่อคนก็ประมาณ 600 ฿ ค่ะ
จากนั้นเราก็ต่อคิวแทกซี่ นั่งไปลงโรงแรม เพลินเลือกพัก M hotel ค่ะ อยู่ในย่าน Tanjon Pagar เป็นย่านดี เดินไป China Town ได้ และใกล้แหล่งของกินมากมาย แถมยังไม่ไกลจากสถานีใต้ดิน Tanjon Pagar ด้วย โรงแรมดี สวยงามตามท้องเรื่อง
มาสิงคโปร์เราเน้นเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน (MRT) และการเดินเป็นหลักค่ะ เราจะเที่ยวกันอยู่ใน Area นี้ค่ะ
แต่คืนนี้เราเรียกแทกซี่ไปโรงแรมกันก่อนค่ะเพราะดึกแล้ว เกือบเที่ยงคืนแล้วค่ะ
Day 2
เริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการไปกินบั๊กกุ๊ดเต๋ที่ร้านเจ้าดังอย่าง Song Fa นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Clarke Quay ร้านเปิดสิบโมงครึ่ง เพลินไปถึงสิบโมงร้านยังไม่เปิด หิวมากๆ เลยต้องกินแมคโดนัลด์ข้างๆ ก่อนแก้หิว แล้วไปรอเป็นคิวแรก Breakfast wrap กับ Hashbrown แมคที่สิงคโปร์อร่อยเหมือนกันนะ
ทานแมคเสร็จก็มารอคิวหน้าร้าน สักแป๊บก็มีคนมาต่อคิวกันยาวเหยียด แต่กลุ่มเพลินได้เป็นโต๊ะแรกเลยค่ะเพราะมารอคิวแรกเลย
หน้าตาเมนู หิวจัง อยากสั่งหมดเลย
ที่โต๊ะมีที่ล้างมือ และน้ำร้อนไว้ด้วย มีชามใส่เศษกระดูกหมู มีกล่องช้อน ตะเกียบ สะอาดสะอ้าน
ไม่บอกก็รู้ว่าหิวแค่ไหน น้ำซุปอร่อยนัวดี หมูสั่งสันในมาค่ะ นุ่มอร่อย ฟินมาก ทานกับข้าวสวยร้อนๆ มีความสุขจริงๆ แต่ถ้ากินตอนอากาศเย็นๆ น่าจะดีกว่านี้นะ
หลังจากทานไปจนแน่น ทั้งแมคเอย ทั้งบั๊กกุ๊ดเต๋เอย ก็ได้เวลาเดินย่อย อยู่ที่นี่เดินเยอะมาก แถมร้อน ก็เบิร์นไวดีเหมือนกันนะคะ
ตอนนี้เราจะไปไหว้พระกันค่ะ ที่วัดพระเขี้ยวแก้ว กับวัดศรีมาริอัมมันต์ (วัดฮินดู) จากสถานี Clarke Quay ก็นั่งย้อนไปที่สถานี China Town แล้วออกถนน South Bridge Road ตรงมาเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็จะเห็นบ้านเมืองสีสันต่างๆ น่ารักดีค่ะ
ก่อนถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว เราจะถึงวัดศรีมาริอัมมันต์ (Sririamman Temple) ก่อน เป็นวัดฮินดูเก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ สร้างขึ้นโดยคนอินเดียที่อพยพมาจากทางอินเดียตอนใต้ในปี 1827 เท่ากับวัดนี้อายุร่วม 191 ปีเลย ก็เกือบ 200 ปีเลยนะเนี่ย
ตอนเพลินเข้าไปเค้ากำลังมีพิธีสวดไหว้ คนมาต่อเรียงสองแถวหน้าเทวรูป เพลินถ่ายรูปมานิดหน่อยแต่ไม่นำมาลงเพราะไม่แน่ใจว่าเขาอนุญาตให้ถ่ายรูปไหม เดี๋ยวจะไม่เหมาะสม
แต่วัดนี้สวยนะคะ สถาปัตยกรรมด้านในทั้งผนังและเพดานเขียนภาพสีสันสดใสดูสมัยใหม่ มีชีวิตชีวา ตัววัดสะอาดสะอ้าน และมีลักษณะเปิดโล่ง มีตาข่ายขึงใต้เพดาน คาดว่าน่าจะกันนกมาทำรังค่ะ
จะว่าไปเป็นวัดแขกที่อยู่กลางไชน่าทาวน์ ก็แปลกไปอีกแบบนะคะ

เดินเลยจากวัดศรีมาริอัมมันต์ เราก็ถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว อันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว หรือพระทนต์ (ฟัน) ของพระพุทธเจ้านั่นเอง เป็นวัดพุทธมหายาน ที่ผสมผสานศิลปะความเชื่อแบบหินยานเข้าไปเล็กน้อย

เพลินประทับใจวัดนี้ที่มีลักษณะเป็นอาคาร มากกว่าเป็นวัดเปิดโล่งแบบที่เราเคยชินกันทั่วไป แค่เข้าไปเห็นโถงกลางก็สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่อลังการ อาคารสีแดง ประดับรูปปั้นนูนต่ำเรียงรายตามผนัง มีพระประธานองค์ใหญ่ และองค์เล็กเด่นเป็นสง่าตรงกลาง ส่องประกายสีทองมลังเมลืองตัดกับสีแดง
มีให้จุดเทียนบูชาขอพร เลือกเอาว่าจะเป็นแบบถ้วย มีพวงมาลัย หรือจะเป็นแก้วกับดอกไม้ เหมือนแก้วจะแพงหน่อย 20 เหรียญแน่ะ แต่จะมีใบเขียนชื่อเราด้วย
เพลินเลือกแบบ 10 เหรียญ เป็นถ้วยแก้วก็พอค่ะ อยู่ที่ใจมากกว่า เพลินเชื่ออย่างนั้น ไม่ได้อยู่ที่ราคาเนอะ
พระเขี้ยวแก้วอยู่ชั้นบนสุด ห้ามถ่ายรูปนะคะ
จากนั้นก็ออกจากวัดไปเดินเล่นไชน่าทาวน์ ตอนนี้ใกล้เที่ยง แดดเริ่มร้อนจัด ลิ้นห้อยเหงื่อตกแล้วค่ะทีนี้ ร้านรวงแถวนี้เพิ่งเริ่มตั้งร้าน เค้าเปิดกันสายเหมือนกันนะคะนี่
มี Tintin Shop ด้วยน้า
ระหว่างที่หาร้านชานมนั่งดื่มคลายร้อน ก็ไปเจอร้านหัวมุมเข้า ชื่อ Nanyang Old Coffee เป็นสไตล์ร้านกาแฟโบราณท้องถิ่นสิงคโปร์เลย เป็นร้านแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ มีโต๊ะตั้งสองฝั่ง เพลินไม่ทานกาแฟ ก็สั่งชานมมา รสจะออกเข้มๆ ขมๆ หน่อยกำลังดี แต่เพื่อนร่วมทางสั่งกาแฟ เค้าว่าใช้ได้นะคะ
มีแปลภาษาให้ด้วยบนโต๊ะเลย
ทานชานมคู่โทสต์เค้าก็อร่อยดีค่ะ เหมือนทาแยมรสอ่อนๆ ไม่หวานเกิน กับปาดเนยแว่นเล็กๆ สอดไส้ตรงกลางมา
จากนั้นเราก็หลบร้อนเข้าห้างกันละค่ะ ไปเดินเล่นกันที่ Marina Bay Sand ห้างใหญ่โตอลังการงานสร้าง เพลินเคยมาเมื่อหลายปีก่อน ก็เดินจนขาลาก รอบนี้ก็เดินจนขาจะหลุดอีกเช่นเคย
พอเริ่มหิวก็เข้าฟู้ดคอร์ตค่ะ ฟู้ดคอร์ทที่นี่อาหารหลากหลาย อร่อยเยอะนะคะ เพลินจำได้ว่าชานมเย็นที่ฟู้ดคอร์ทอร่อยก็เลยขอสั่งอีกสักรอบ ทานกับไข่ลวกค่ะ
เพื่อนร่วมทางสั่งกาแฟ Yaun Yang เป็นกาแฟผสมชานมเย็นค่ะ อร่อยดี ได้ทั้งความเข้มของกาแฟที่ไม่เข้มจนเกินไป และได้รสชาหอม คนที่ไม่ทานกาแฟอย่างเพลินก็จิบได้สบายค่ะ
พอสัก 17.30 กว่า เราก็เริ่มออกเดินไป Garden by the Bay สวนลอยฟ้าค่ะ โดยจากตึกมาริน่ามีทางเดินลอยฟ้าเชื่อมไป Garden by the Bay ค่ะ แต่ก็เดินกันนานกว่าจะถึงค่ะ
ระหว่างเดินก็เลยได้เก็บวิว Marina ดูยังไงก็ทึ่งเนอะ สร้างไปได้ยังไง

เริ่มเข้าเขต Garden by the Bay แล้ว
อยู่ลิบๆ นั่นค่ะ สวยแปลกดี เหมือนฐานทัพมนุษย์ต่างดาวดี
บัตรที่เพลินซื้อตั้งแต่วันแรกที่สนามบิน เป็นบัตรที่เข้าชมได้ทั้ง Cloud Forest และ Flower Dome ค่ะ เพลินเลยเริ่มเข้า Cloud Forest ก่อน เพราะระหว่างเดินมานี่ร้อนสุดๆ ไปเลย ร้อนชนิดที่เก็บกล้อง ไ่ม่พูดไม่จาเลยค่ะ ใน Cloud Forest หรือป่าหมอกนี่อยู่ในอาคาร จำลองป่าอันชุ่มชื้น เข้าไปนี่อย่างกับเมืองสวรรค์เพราะมันเย็นค่ะ ฮ่าๆๆๆ มีละอองน้ำฉ่ำเย็นพ่นออกมาตลอด
ขออยู่ตรงนี้นานๆ ได้ไหมนี่ เย็นสบาย
น้ำตกจำลองก็ทำเสียเหมือนเลยค่ะ
ดูวิดิโอประกอบได้นะ ฮ่าๆๆ
จาก Cloud Forest เราก็ย้ายไปที่ Flower Dome ก็เป็นสวนดอกไม้ประเภทต่างๆ จากทั่วมุมโลก เพลินว่าสวนดอกไม้บ้านเราอย่างดอยตุงนี่สวยกว่านะ ดอกอลังการกว่า ประเทศเราของดีเยอะนะคะ สิงคโปร์เค้าไม่มีที่เที่ยวก็เลยต้องสร้างที่เที่ยวขึ้นมาเอง
จุใจแล้ว (จริงๆ ร้อนและเมื่อยถึงขีดสุด) ก็ออกมาเดินชมวิว รอเวลาเปิดไฟการแสดงตรง Garden by the Bay ซึ่งจะเปิดไฟตอน 19.45 น. ระหว่างนี้ก็รอไป เก็บภาพจนเลิกเก็บไปแล้ว
สิงคโปร์ยามเย็น
จากนั้นเราก็ไปจับจองที่นั่งเพื่อที่จะได้เห็นชัดๆ
แล้วในที่สุดก็ถึงเวลาจ้า แสงสีเสียงอลังการ เปิดเพลงคลาสสิกประกอบด้วยก็เลยยิ่งได้ฟีล
การแสดงยังไม่จบ แต่พวกเราจบแล้ว เพราะหิวมาก เลยเดินกลับกะจะไปหามื้อเย็นทานในมาริน่าค่ะ
ระหว่างทางก็อดใจไม่ไหว เก็บภาพมาริน่ายามค่ำคืนอีกสักชอต
ตกดึกคนเยอะมากค่ะในมาริน่า ที่นี่คนน่าจะเลิกงานค่ำ และเข้างานสาย สังเกตจากรถใต้ดิน คนเยอะแน่นมาช่วง 9-10.00 น.
มื้อเย็นที่ดึกไปหน่อยเราจบที่ Din Tai Fung ในตึกมาริน่าค่ะ หมี่เย็นหม่าล่าอร๊อยอร่อย
เสี่ยวหลงเปาทรัฟเฟิลก็ดี
ดูรีวิวอาหารเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ ลายแทง10 ร้านของอร่อยในสิงคโปร์
Day 3
เริ่มต้นเช้าวันที่ 3 ด้วยการไปทานอาหารเช้าที่ร้าน Wild Honey อาหารฝรั่งแนวสุขภาพ เพลินเลือกไปที่สาขา Orchard เพราะเดี๋ยวเราจะไปซื้อมันฝรั่งไข่เค็มต่อค่ะ
Wild Honey ในตึก Mandarin Gallery นั่งใต้ดินมาลงสถานี Somerset หรือสถานี Orchard ได้เลย
สั่งอาหารตูนีเซีย (ซ้าย) และ อาหารนอร์เวย์ (ขวา) มา อร่อยดีนะคะ
ตูนีเซียจะเป็นไส้กรอก Chorizo กับเครื่องเทศในซอสมะเขือเทศกระทะร้อน ทานคู่ขนมปังทาเนยบางๆ (บางมาก อยากให้ชุ่มกว่านี้ ไม่ฟินเลย)
ส่วนจานนอร์เวย์จะเป็น Egg Benedict ราดซอส Hollandais พันด้วยแซลมอนรมควัน ทานคู่กับอโวคาโด หน่อไม้ฝรั่งและขนมปังค่ะ
อร่อยดี แต่ไม่ได้อร่อยมากมายอย่างที่คิดไว้ค่ะ แต่ก็ใช้ได้นะคะ

มุมน่ารักไว้ถ่ายรูปค่ะ
ดูรีวิวร้านนี้เพิ่มเติมได้ในบล๊อกอาหารได้เลยค่ะ ลายแทง10 ร้านของอร่อยในสิงคโปร์
จากนั้นเดินออกจากตึก Mandarin Gallery เราก็มุ่งหน้าเข้าตึก Orchard Gateway ซึ่งจะมี Irvins Salted Egg มันฝรั่งไข่เค็มชื่อดังอยู่ เข้ามาปุ๊บก็เห็นเลยค่ะ ร้านจะอยู่ข้างๆ ร้าน Noodle Place
ปกติต้องต่อคิวกันยาวเหยียดเพราะคนไทยชอบมาเหมา แต่เพลินโชคดีไม่ต้องรอเลยค่ะ โล่งมาก เลยซื้อมา 14 ถุงค่ะ มากกว่านี้หอบไม่ไหว อ่านรีวิว Irvins และรีวิวเพิ่มเติมด้านของกินโดยเฉพาะได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ
ลายแทง10 ร้านของอร่อยในสิงคโปร์
จากนั้นเราก็ไปเก็บของพะรุงพะรังที่โรงแรมก่อนค่ะ เวลานั้นก็ใกล้ๆ บ่าย ยังไม่หิวเท่าไหร่ค่ะ
จากโรงแรมที่สถานี Tanjon Pagar เราก็นั่งไปลงสถานี Bugis ค่ะ เพื่อไปไหว้พระอีกเช่นเคย ระหว่างทางก็ผ่าน Bugis Market Street ย่านตลาดสด และของใช้กระจุกกระจิกอารมณ์สำเพ็ง ยูเนี่ยนมอลล์บ้านเรา ก็ไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไหร่ ก็เดินผ่านๆ มาค่ะ
จากนั้นก็เข้าไปไหว้พระที่วัดเจ้าแม่กวนอิม (Kwan Im Thong Hood Cho Temple) แต่ข้างในห้ามถ่ายรูปค่ะ เจ้าหน้าที่ดุมาก แค่ยกกล้อง หรือมือถือนี่เข้ามาขวางหน้าประชิดแล้วจ้องอย่างกินเลือดกินเนื้อ ไม่โอเคเลย พูดกันดีๆ ก็ได้ แล้วเดินตามตลอดอย่างกับเป็นอาชญากร ไม่ไหวๆ เพลินเลยปล่อยให้ผู้ร่วมทางไหว้ให้ครบจบกระบวน ส่วนตัวเพลินพอจุดธูปเสร็จก็ออกมารอข้างนอกค่ะ
ข้างๆ ก็มีวัดฮินดูอีกเช่นกัน เอ…นี่เจอวัดจีนกับวันแขกอยู่ติดกันสองครั้งละนะ
Bugis จะเป็นย่านออกแขกๆ ค่ะเท่าที่สังเกต แต่ก็มีมุมน่ารักนะคะ เดินเล่นไปกก็จะเห็นพาสเทลมุ้งมิ้งแบบนี้
เดินจนลิ้นห้อยด้วยความร้อนและเมื่อย ร่างกายก็ต้องการน้ำหวานๆ เย็นๆ อยากจะทานชานมสักแก้ว ก็เลี้ยวเข้าร้านขนม Belle-Ville Pancake Cafe อยู่หัวมุมถนน กะว่าต้องมีเครื่องดื่มเย็นแน่ ปรากฏว่ามีแต่แบบร้อน! ก็เลยสั่งแต่แพนเค้กชาเขียวมาค่ะ รสชาติก็พอโอเค ไม่ว้าวมาก
เติมพลังแล้วก็เดินเล่นย่านนี้ต่อ ตอนนี้เริ่มเข้าสู่ย่านแขกมุสลิมแล้วค่ะ เราเลยเห็นมัสยิด (Masjid Sultan – Mosque) ก่อนหน้านี้เราไปวัดฮินดู คราวนี้มัสยิดมุสลิมแล้วนะคะ
สิงคโปร์นี่สุดยอดแห่งความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมเลย
จากนั้นก็เป็นดงแขก เดินเล่นกินบรรยากาศอินเดียๆ กันค่ะ ดูจากร้านรวง สถาปัตยกรรม
ไฮไลต์ของย่านนี้ที่เพลินไปเจอโดยบังเอิญ (ด้วยความกระหายน้ำสุดๆ) ขณะเดินขาลากด้วยความร้อน ก็เห็นร้านชาร้านหนึ่งที่ดูเป็นชาแขกๆ ดี มีคนต่อคิว และนั่งทานกันเพียบ ลักษณะร้านเหมือนแผงในตลาด และมีโต๊ะส่วนกลางของหลายร้าน
ร้านนี้ชื่อ Teh Sarabat Stall หรือ Bhai Sarbat Stall เป็นร้านชาแบบแขกค่ะ เพลินก็สั่งมั่วๆ มา โดยสั่ง Teh Halia ด้วยความรู้แค่ Teh คือ Tea หรือชา Halia คือไรไม่รู้
สั่งมาปรากฎเป็นชานมใส่ขิงค่ะ! เพลินว่าใช้ได้นะ แต่ถ้าคนไม่ชอบก็จะว่ามันแรงไปค่ะ ชานมทำให้ท้องอืด มีขิงมาแก้ท้องอืดก็ไม่เลวนะคะ
เติมพลังด้วยชานมแล้วแล้ว จากนั้นเราก็เดินลัดเลาะกันไปเพื่อไปเดินเล่นย่านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าน Hip hip ชื่อ Haji Lane ขายของแนวๆ เก๋ๆ คนมาเดินก็แนวๆ หน่อย บ้านเมืองก็สีสันสดสวย ดูทันสมัยวัยรุ่น ดูติสต์ๆ เหมือนอยู่คนละโลกกับดงแขกเมื่อกี้เลยค่ะ แค่ไม่กี่ช่วงตึก
แดดร้อนทำให้เราเหนื่อยเร็วกว่าที่ควร เดินเล่น Haji Lane ได้พักใหญ่ๆ เราก็มุ่งหน้าสู่ Clarke Quay (อ่าานว่า คลาร์ค คีย์) โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปลง สถานี Clarke Quay ด้วยความหิวจัด เพื่อนร่วมทางอยากกินราเมง เสิร์ชหาราเมงอร่อยๆ เลยเดินเข้าห้าง ทานที่ร้าน Hokkaido Ramen Santouka มีความอยู่ในซอกหลืบมาก ส่วนตัวว่าเฉยๆ
จากนั้นก็มาเดินเล่นกินลมชมวิวท่าเรือ ร้านรวงแถวนี้คึกคักมาก เป็นบรรยากาศริมน้ำที่เก๋ไปอีกแบบ ตอนนั้นก็เย็นแล้วนะคะ เกือบทุ่มแล้ว แต่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย เชิญกดคลิปชมเรื่อง Clarke Quay ได้เลย
จบวันด้วยขาที่แทบจะหลุดจากร่าง เพื่อนร่วมทางยังพาไปเดินย่าน Tiong Bahru เป็นย่านที่ฝรั่งชอบมา บอกมีร้านเก๋ๆ น่ารักๆ เยอะแยะห้ามพลาด ลักษณะเหมือนอยู่นอกเมืองไปหน่อยเพราะเริ่มเห็นแต่ตึกที่อยู่อาศัยค่ะ จาก Clarke Quay เดินไป Tiong Bahru ได้ แต่ไกลมาก ยิ่งเมื่อย ยิ่งไกล
แต่ไปถึงก็ดึกแล้ว อะไรก็ปิดหมด เลยได้แต่นั่งหมดแรงตรงนั้นแล้วเรียกแทกซี่กลับโรงแรม
Day4
วันนี้วันสุดท้าย เราเลยจะไปเก็บบักกุ๊ดเต๋เจ้าดังอีกร้าน ตื่นมาแปดโมง เก้าโมงเราก็นั่งใต้ดินลงสถานี Ragoon ออกทางออก B แล้วเลี้ยวขวา ตรงไปเรื่อยๆ ย้ำว่าเรื่อยๆ จนสุดทาง จะเจอร้าน NG Ah Sio อยู่หัวมุมถนนฝั่งขวา
ส่วนตัวชอบบั๊กกุ๊ดเต๋ร้านนี้มากกว่า Song Fah หน่อย น้ำซุปเข้มข้นกว่ามากค่ะ กินแกล้มพริกอร่อยมาก ที่ชอบอีกอย่างคือน้ำจิ้มปาท่องโก๋ เหมือนซีอิ๊วดำผสมถั่วป่นนิดหน่อย แต่เพื่อนร่วมทางบอกว่าซีอิ๊วดำ +น้ำมันหอยต่างหาก
เพลินก็คิดในใจ… ใช่เหรอ แต่เค้าเซียนอาหารจีนกว่าเรา ก็น่าจะใช่
ฟินมาก


อ่านรีวิวบั๊กกุ๊ดเต๋เพิ่มเติมได้ที่ลายแทง10 ร้านของอร่อยในสิงคโปร์
เนื่องจากโรงแรมให้เช็กเอาท์เที่ยง พวกเราเลยกลับไปเก็บของและเช็กเอาท์ที่โรงแรมก่อน ฝากกระเป๋าไว้ แล้วก็ออกมากินต่อ อ๊ะๆ อย่าเพิ่งสงสัยว่าทำไมเอะอะกินอีกแล้ว ก็นี่ทริปกินอะเนอะ ฮ่าๆ แล้วก็ตอนทานบักกุ๊ดเต๋ เราสั่งแค่นิดเดียวกันเพราะจะมาจัดต่อนี่แหละ
จากโรงแรมในย่าน Tanjon Pagar ที่เพลินอยู่ สามารถเดินมาที่ Maxwell Food Court ได้ในระยะเกือบโล ลักษณะเหมือนตลาดอาหาร ไม่มีแอร์ มีแต่พัดลม ร้อนมากกกกกกกกกก
เป้าหมายคือมาทานข้าวมันไก่ Tian Tian ชื่อดัง ที่คนไทยชอบมากัน เพลินเคยทานเมื่อมาสิงคโปร์รอบก่อน ก็จำได้ว่าเฉยๆ ไปอร่อยกับอีกร้านมากกว่า แต่จำไม่ได้แล้วว่าร้านไหน
แล้วเราจะหาของอร่อยอื่นๆ ในนี้ทานกันด้วยค่ะ
ดูสภาพความวุ่นวาย คนเบียดเสียด อากาศร้อน คนเยอะจนแทบจะเป็นลม
Tian Tian Hainanes Chicken Rice ร้านข้าวมันไก่ไหหนานในตำนาน คิวยาวเว่อร์ ต่อกันนานจริงจัง แถมเลือกไม่ได้ด้วยว่าจะเอาชิ้นส่วนไหน คนขายเป็นอาเฮียหน้าดุบอกว่าเลือกไม่ได้ มีให้ทุกส่วน (เพื่อนร่วมทางคุยภาษาจีนได้ เป็นคนคุยแล้วแปลให้ฟัง)
สำหรับเพลิน เพลินว่าข้าวอร่อยมาก น้ำไก่นัวถึงใจมาก แต่ตัวไก่ เฉยๆ บ้านเราอร่อยกว่า ส่วนน้ำจิ้มเหมือนน้ำจิ้มข้าวขาหมู แถมให้ถ้วยกระจิดริด ชอบน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวแบบบ้านเรามากกว่า
ที่อร่อยกลับเป็นร้านหมูแดง หมูกรอบนี่ค่ะ คิวยาวยิ่งกว่าร้านข้าวมันไก่ เพื่อนร่วมทางไปต่อคิวมาให้ อร่อยฟินเว่อร์ มีหมูแดง หมูกรอบ เป็ดย่าง
เครื่องดื่มเพลินสั่งน้ำอะโวคาโดปั่นจากแผงแถวนั้นแหละ ร้อนมาก ไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปเลยไม่มีรูปมาฝากนะคะ ฮ่าๆๆ
อิ่มแล้วก็เดินย่อย แถว Tanjon Pagar นี่มีที่เดินเล่นเยอะเหมือนกัน มีห้าง มีมอลล์ ให้เดินไม่หวาดไม่ไหว เราเดินกันจนถึงบ่ายสาม ก็มานั่งหมดแรงที่ Coffee Bean & Tea leaf
จากนั้นเราก็… กลับโรงแรม แล้วให้โรงแรมเรียกแทกซี่ไปสนามบินให้ค่ะ ราคาประมาณสิบกว่าเหรียญ
ก็เป็นอันจบทริปสิงคโปร์ฉบับย่อ เรียกว่าฉบับกินน่าจะดีกว่าเนอะ
อ่านรีวิวด้านร้านอาหารสิงคโปร์ในทริปนี้โดยเฉพาะได้ที่ ลายแทง10 ร้านของอร่อยในสิงคโปร์ จะลงรายละเอียดมากกว่าค่ะ
สรุปเส้นทางในทริปนี้ดังนี้ค่ะ
Route ดังนี้ ~ Songfah บั๊กกุ๊ดเต๋ – วัดเขี้ยวแก้ว – วัดศรีมาริอัมมันต์ – China Town – Marina Bay Sand – Garden by the Bay
Wild Honey – Irvins Salted Egg – Bugis – Haji Lane – Clarke Quay – Tiong Maru
Ng Ah Sio (Ragoon) – Maxwell food Center – Tanjon Pagar
สรุป
เดินทาง 3 คน ~ จองโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน ผ่าน Expedia >> จ่ายคนละ 15,000 ฿
~เดินทาง Singapore Airline
~พักโรงแรม M Hotel ย่าน Tanjon Pagar
~ติดสถานีใต้ดิน Tanjon Pagar
~เดินไปไชน่าทาวน์ และ Maxwell Food Court ได้~Pocket Money แลกไป 15,000 THB ด้วยเรท 24.3 = 617 SGD
แต่บางอย่างที่ราคาสูงจ่ายด้วยบัตรเครดิต เช่น IRVINS SALTED EGG และ เครื่องสำอาง Bath & Body Work**และค่าอาหาร 80% ของทริปจ่ายด้วยบัตรเครดิต เพราะร้านอาหารส่วนใหญที่นี่ราคาแรงเหมือนกันค่ะ ตกมื้อละ 2000-3000 ฿ ตลอด
ใครจะไปให้แพลนดีๆ นะคะ
One Comment