“ไปเที่ยวทะเลสาบไบคาล…”
ได้ยินอย่างนี้คนส่วนใหญ่จะขมวดคิ้ว… มันอยู่ส่วนไหนของโลกกันนะมันเหมือนกับบอลข่านหรือเปล่า… แล้วถ้าตอบว่า
“อยู่ตอนใต้ของไซบีเรีย”
คราวนี้ยิ่งมีคำถามไซบีเรียคือที่ไหนอ่ะ
เอางี้ไซบีเรียเป็นดินแดนส่วนใหญ่ของรัสเซียฝั่งตะวันออกกินพื้นที่ยาวมาจรดขอบมองโกเลียเลยค่ะพูดง่ายๆคืออยู่เหนือมองโกเลียขึ้นไปครอบคลุมพื้นที่ตะวันออกเกือบทั้งหมดของรัสเซีย
(รูปแผนที่นี่นำมาจาก Google นะคะ / Map cr. Google)
ทะเลสาบไบคาลอยู่ตอนใต้ของไซบีเรียก็อยู่ขอบชายแดนตอนเหนือของมองโกเลียนั่นเองค่ะเป็นพื้นที่อากาศหนาวจัดรุนแรงหน้าหนาวของเค้าอุณหภูมิจะอยู่ที่ -15 ถึง -27 องศาเซลเซียสเลยตัวพื้นที่ไซบีเรียคนอยู่น้อยมากถ้าเทียบกับฝั่งตะวันตกที่เป็นเมืองใหญ่ๆของรัสเซียเพราะอากาศหนาวโหดทารุณแต่ทรัพยากรธรรมชาติเค้าอุดมสมบูรณ์มากๆ
(รูปแผนที่นี่นำมาจาก Google นะคะ / Map cr. Google)
ส่วนเจ้าทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่กว้างใหญ่และลึกที่สุดอันดับหนึ่งของโลกลึกเกือบ 2 กิโลเมตรเลยก็ว่าได้และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงสุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ไฮไลต์ของทะเลสาบนี้คือช่วงฤดูหนาวน้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด!
ย้ำว่าทั้งหมดและรถจะวิ่งได้ทำให้เราขับรถไปเที่ยวชมผืนน้ำกลางทะเลสาบได้ใช่… มันแข็งแรงขนาดนั้นเลยค่ะ!
และไปชมเกาะแก่งที่ยามปกติก็ลอยอยู่กลางน้ำทั่วไปต้องนั่งเรือไปถึงจะไปได้แต่ในหน้าหนาวแบบนี้เราขับรถลุยแผ่นน้ำแข็งไปได้เลย
นี่คือไฮไลต์ต้องมาเฉพาะช่วงนี้ของปีเท่านั้นเดือนที่แนะนำคือกุมภา–กลางมีนาคมก่อนหน้านั้นก็จะหนาวเกินไปคืออาจแต่ -30 องศาได้มาช่วงกุมภามีนากำลัง -15 ถึง -23 องศาก็พอไหวอยู่แต่เลยมีนาไปก็เริ่มไม่เซฟละน้ำแข็งจะเริ่มละลายแล้วค่ะ
เรียกได้ว่าเรากำลังมาสัมผัสดินแดนน้ำแข็ง Frozen ทุกทีมีแต่น้ำแข็งน้ำแข็งและน้ำแข็งมีหิมะปกคลุมบ้างมีแต่ความหนาวยะเยือก
แต่นี่ก็คือเสน่ห์ของไบคาลแห่งไซบีเรียความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราควรได้มาเยือนสักครั้ง…
เรามากับทัวร์ที่จัดกันเองมีหัวหน้าทัวร์ผู้เชี่ยวชาญรัสเซียและโดยเฉพาะแถบทะเลสาบไบคาลและคุ้นเคยกันดีกับชาวแก๊งของเราเป็นผู้จัดและประสานงานกับไกด์ท้องถิ่นที่นู่นจองที่พักคนขับอะไรไว้หมดก็จะเป็นทัวร์แบบกันเองอบอุ่นแต่ก็เก็บครบถ้วนไม่แพ้ทัวร์ทางการของบริษัทเลยค่ะที่สำคัญราคากันเองด้วย
ทัวร์หลักหมื่นวิวหลักล้านก็คุ้มค่ะ
แนะนำให้มากับทัวร์หรือมีคนคุ้นเคยนำทางพาเที่ยวมากกว่ามาเองเพราะ
1. คนรัสเซียพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยหรือได้น้อยมากน้อยแบบทำให้เราลำบากได้เลย
2. ภูมิประเทศเป็นน้ำแข็งหิมะเดินทางยากและยาวนานต้องอาศัยคนท้องถิ่นและรถสมรรถภาพดี
การมีคนประสานงานกับคนรัสเซียให้จึงสำคัญและจำเป็นมาก
ทริปนี้จะแบ่งเป็น 3 parts หลักๆได้แก่
Irkutsk – Ol’Khon Island – Listvyanka
โดยน้ำหนักของทะเลสาบไบคาลจะอยู่ที่เกาะ Ol’khon เป็นหลักและเราจะนอนที่เกาะ 3 คืน
Day 1:
เริ่มทริปต้องไปลงที่ไหน?
เพลินนั่งสายการบิน S7 หรือ Siberian Airlines ไปลงเมือง Irkutsk (เอียร์คุตส์) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงเวลาที่เอียร์คุตส์เร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง
ออกจากสุวรรณภูมิ 16.50 น. ไปถึงสนามบินเอียร์คุตส์เที่ยงคืนกว่าตามเวลาท้องถิ่นหัวหน้าทัวร์ที่รอเราอยู่ที่นั่นแล้วบรีฟก่อนมาแล้วว่าให้พกเสื้อกันหนาวตัวหนาเอาไว้ขึ้นเครื่องด้วยเพราะตอนลงจากเครื่องจะต้องนั่งบัสเข้าไปในอาคารสนามบิน… ซึ่งเป็นจังหวะที่จะหนาวสุดๆไปเลย…ก็ลบสิบสามลบสิบห้าองศาอ่ะนะ
เราผ่านการตรวจตม. เค้าไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เจอพี่ตี้หัวหน้าทัวร์เรารออยู่พร้อมไกด์ท้องถิ่นชื่อIlja (อ่านว่าอิเลีย)อิเลียเป็นคนผิวขาวหน้ากลมผมทองผมน้ำตาลเป็นรัสเซียที่พูดอังกฤษชัดแจ๋วและพูดคล่องยิ้มแย้มอัธยาศัยดีดูกระตือรือร้นพร้อมอธิบายทริปนี้ราบรื่นสนุกสนานส่วนสำคัญหนึ่งมาจากหนุ่มอิเลียนี่ล่ะ
ตอนขึ้นรถนี่หนาวมากถึงจะมีเสื้อกันหนาวโคลัมเบียแต่ท่อนล่างเราบางกรุปเรามีกัน 20 คนจึงแบ่งนั่งรถตู้ 2 คันนั่งราว 20 นาทีจึงถึงที่พักชื่อHostel Good Catมีห้องพักหลายแบบทั้งห้อง 4 คน 2 คน 3 คนมีห้องน้ำในตัวแต่มีครัวรวมเหมือนคอมมอนรูมไว้สำหรับทำอาหารทานข้าวกันง่ายๆ
หน้าโรงแรมมีตุ๊กตาหิมะด้วยนะ
เพลินได้อยู่ห้อง 4 คนค่ะห้องเบอร์ 10 พวงกุญแจรูปแมวดำน่ารักเลย
ลักษณะของ Good Cat คือเป็นโฮสเทลมากกว่าไม่ใช่โรงแรม Full Service เรามีหน้าที่หาอาหารทานกันเองแต่ในครัวก็มีเตามีไมโครเวฟและมีจานชามช้อนส้อมแก้วน้ำอ่างล้างจานให้ตรงทางเดินระเบียงมีถังกดน้ำให้เราเติมน้ำดื่มอะไรได้ตามอัธยาศัยนับว่าสะดวกดีเลย
คืนนั้นกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่และต้องตื่นแปดโมงเช้าเพื่อไปเที่ยวเมืองเอียคุตส์
Day2: Irkutsk City Tour
เนื่องจากซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากเลี้ยวขวาถึงสี่แยกเลี้ยวขวาอีกทีเดินสักบล็อกนึงก็ถึงเราเลยสามารถตุนเสบียงมาทำอาหารเช้ากันได้แต่อันที่จริงก็พกอาหารแห้งมาม่าหมูหยองปลาแห้งอะไรกันมาจากไทยเพียบอยู่แล้วก็ทานข้าวต้มตอนเช้ากันสบายใจ
ตอนเช้าบรรยากาศหน้าโรงแรมก็จะเห็นกองหิมะเกลื่อนแบบนี้ ก็ต้องลุยหิมะไปซื้อของที่ซูเปอร์กันค่ะ
10.00 ก็ได้เวลาเที่ยวตัวเมืองเอียร์คุตส์ก่อนเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งของรัสเซียอยู่ในเขตไซบีเรียตอนใต้อย่างที่เห็นในแผนที่เรายังไม่ได้ไปทะเลสาบไบคาลตอนนี้ค่ะแต่เอียร์คุตส์เป็นจุดเริ่มต้นที่ใกล้ไบคาลที่สุดเราเลยมาลงที่นี่ก่อนไหนๆมาแล้วก็ต้องมาชมเค้าว่าเค้าเป็นไงมาไงใช่ไหมคะ
เมื่อรถเคลื่อนจากโรงแรมเข้าตัวเมืองจุดแรกที่ให้สังเกตคือสะพานข้ามแม่น้ำอังการา (Angara)เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดและสำคัญมากในเขตไซบีเรียเช้านี้อากาศ -15 องศาทุกแห่งมีแต่หิมะปกคลุมเมื่อรถข้ามสะพานเห็นแต่ไอหมอกมัวๆจนแทบไม่เห็นแม่น้ำด้านล่าง
รถมาหยุดลงให้เราเดินเล่น เริ่มจาก Kirov Square มีสถานที่สำคัญหลายแห่งในบริเวณนั้น ทั้งโบสถ์ และอาคารศาลาว่าการ มีทั้งสถาปัตยกรรมโบราณผสานกับสมัยใหม่ ตอนที่เราไปมีแต่หิมะปกคลุม แต่อากาศสดชื่นมาก และหากสังเกตดีๆ จะเห็นตุ๊กตาหิมะกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ รวมถึงรูปสลักน้ำแข็งด้วยอากาศเย็นเราแพคตัวอุ่นก็จริงแต่พอถอดถุงมือมาถ่ายรูปนี่มีกรี๊ดมันหนาวมากค่ะ
แต่เราก็ต้องยอมอดทนเพื่อให้ได้รูปสวยอย่างที่มันสวย
อิเลียกับพี่ตี้เดินนำแก๊งลูกเป็ดเดินทั่วเมืองและชมสถานที่สำคัญ
เราเลยได้ไปเจอทหารรัสเซียกำลังฝึกเวรยามเข้าแถวกันอยู่แก๊งที่เราเจอเป็นทหารหญิงผิวขาวแก้มแดงท่าทางยังเด็กๆอยู่ได้ความจากอิเลียว่าเป็นเด็กๆฝึกหัดอยู่พวกเธอต้องเคร่งขรึมแม้ว่าเราจะแอบเห็นพวกเธอกลั้นยิ้มด้วยความเขินอายและซ่อนแววตาอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่มิดก็เถอะ
เดินผ่านทหารยามสาวน้อยไปอีกนิดเราจะเห็น Eternal Flame หรือเปลวไฟที่เค้ารักษาไว้ไม่ให้ดับจะต้องมีคนคอยเป็นเวรยามดูไฟนี้ไว้แต่เท่าที่คุยกันลมแรงขนาดนี้มันก็ต้องมีดับกันบ้างล่ะแล้วหากเข้าใจไม่ผิดจากที่ไกด์พูดทหารยามมีหน้าที่เฝ้าระวังไฟชุดนี้…แต่ไม่รู้ใช่ทหารสาวน้อยกลุ่มนั้นหรือเปล่ามองดีๆ นะคะ ตรงกลางนั้นคือเปลวไฟที่ว่าค่ะ
รอบๆ มีป้ายหลุมศพทหารและวีรบุรุษของชาติ
พวกเราเดินเลียบรั้วกั้นจากทุ่งหิมะด้านล่างถ่ายรูปเก็บวิวหิมะขาวโพลนและวิวแม่น้ำอังการาใต้สายหมอกไปตลอดทางเพื่อไปถึงMoscow Gate หรือประตูมอสโคว์อารมณ์เหมือนเป็นประตูชัยของปารีสอ่ะค่ะแต่เล็กกว่าและด้วยความเป็นเมืองเล็กเงียบๆหน่อยประตูเค้าก็จะให้ความรู้สึกสง่างามแบบเรียบง่ายด้วยซุ้มประตูสีเหลืองอ่อนตัดขาว
ตรงนั้นมีรูปปั้นสวยๆอีกสองแห่งที่ไม่รู้ประวัติ (ไกด์ไม่ได้เล่าหรือเล่าแต่เราหนาวจนไม่ได้ยิน) เพลินว่ามันสวยดีและมี expression ของสีหน้าท่าทางอารมณ์รูปปั้นที่ชัดเจนเลยถ่ายมาหลายรูปหน่อย
ถึงตอนนี้แต่ละคนหนาวมากแล้วก็พอดีกับที่ต้องไปชมอนุสาวรีย์กับทุ่งหิมะอีกที่คนขับรถเอารถมารอรับที่ประตูนี้พอดีจึงขึ้นไปหาไออุ่นในรถกัน
แต่นั่งไม่ทันไรก็ถึงอนุสาวรีย์ของอเล็กซานเดอร์ที่ 3ผู้เป็นบุคคลสำคัญแห่งเอียร์คุตส์และรัสเซียพี่กิ่งพี่สาวใจดีในแก๊งเล่าเสริมว่าอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ปลดปล่อยคนจากการเป็นทาสคล้ายๆกับยกเลิกระบบทาสโดยกลายๆเป็นต้นแบบให้ร.5 ของเราชาวไทยที่เสด็จเยือนรัสเซียช่วงนั้นได้แรงบันดาลใจเมื่อนิวัติกลับไทยจึงมีพระราชดำริในการเลิกทาส
ดูเหมือนแก๊งเราไม่ค่อยอินกับอนุสาวรีย์มากนักพวกเราตื่นเต้นกับทุ่งหิมะด้านล่างต้องลงบันได้ไปอีกหลายชั้นลื่นและหิมะสูงพอสมควรคนที่ทนหนาวได้จึงลงบันไดลุยหิมะให้ได้รูปสวยแต่ก็คุ้มค่าเพราะสวยอลังการเห็นน้ำแข็งและหิมะขาวโพลนอยู่ด้านหลังเวิ้งว้างกว้างไกล
จากนี้เรานั่งรถต่อไปโบสถ์คาซาน (Kasan Church)เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่มีค่าทางจิตใจต่อคนเอียร์คุตส์มากเนื่องจากโบสถ์นี้เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของชาวเมืองท้องถิ่นที่มีทั้งชาวบ้านนักโทษกบฎการเมืองโจรกลับใจ (ที่ถูกเนรเทศมาเมืองเอียร์คุตส์) สร้างโบสถ์นี้ขึ้นตัวโบสถ์สวยงามจากรูปแบบการก่อสร้างแบบไบแซนไทน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะภายในประดับด้วยหินอ่อนสีแดงและมีเสาหินหลักของโบถส์ที่ทำจากหยกการเพนท์ลายใต้หลังคาโบสถ์ต้องใช้ช่างชำนาญที่ส่งไปศึกษาจากอิตาลี
เพลินชอบไม้กางเขนน้ำแข็งของโบสถ์นี้น่ารักดีค่ะ มื้อเที่ยงเรากินกันช้าหน่อยประมาณบ่ายสองที่ร้านอาหารในย่าน 130 square อันเปรียบเหมือนสยามบ้านเราเป็นแหล่งชอปปิ้งทันสมัยวัยรุ่นเดินเล่นและมีห้างอยู่บริเวณนั้นด้วยร้านอาหารที่เราไปกินเป็นร้านกึ่งบาร์อาหารอร่อย
เพลินชอบหมดเลยทั้งซุปมะเขือเทศใส่ครีมสดขนมปังไส้ชีสก็เด็ดมากแป้งบางกรอบและเค็มมันๆในตัว
ปิ้งย่างเค้าซอสเด็ดมาก
แต่ที่สำคัญคือน้ำเชอรี่มีผลเชอรี่ในนั้นหวานอมเปรี้ยวกำลังดีเติมกันจนหมดเหยือกค่ะ
จากนั้นก็ไปเดินเล่นในห้างเดินจากร้านไปไม่ถึงร้อยเมตรถึงตอนนี้ทุกคนหมดแรงแล้วด้วยความหนาวจึงนั่งแช่อยู่ในห้างหาเครื่องดื่มทาน
และที่สำคัญ…ไปซื้อซิมรัสเซียกันมาใช้จริงๆก็มีบางส่วนที่ให้พี่ตี้จองมาแต่แรกแล้วแต่สำหรับคนที่ยังไม่มีก็มาซื้อเอาที่นี่ค่ะจะได้เล่นเนตเร็วๆ
ตอนเย็นก็ซื้อเสียงทำกินในครัวที่พักค่ะ
DAY3วันนี้เราเดินทางเกือบทั้งวันมุ่งหน้าสู่ Ol’Khon Island หรือเกาะออลคอนเราจะค้างบนเกาะนี้ 3 คืนทะเลสาบไบคาลที่พวกเราตั้งใจมาจะอยู่ที่เกาะนี้นี่ล่ะ
ก่อนอื่นเรามารู้จักเกาะออลคอนกันก่อนนะคะ เค้าอยู่กลางทะเลสาบไบคาลเลยค่ะ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในไบคาล ใกล้แผ่นดินใหญ่มาก
( Map photo cr. Google เครดิตรูปแผนที่จากกูเกิ้ลนะคะ)
ระยะทางจากเอียร์คุตส์ไปเกาะออลคอนใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมงเราก็แต่งตัวให้นั่งสบายๆหน่อยลดจำนวนชั้นเสื้อผ้าลงนิดนึงเพราะใช้เวลาในรถส่วนใหญ่แต่เอาจริงๆระหว่างทางเข้าห้องน้ำตามปั๊มตามร้านอาหารก็หนาวเอาเรื่องอยู่นะคะ
มื้อเที่ยงแวะทานร้านกลางทางจุดแวะของนักท่องเที่ยวก็ต้องเป็นที่นี่เพราะไม่มีร้านอื่นเป็นตัวเลือกมากนักเรายังได้กินซุปมะเขือเทศและสลัดผักหน้าตาเหมือนโควสลอว์กับแผ่นแป้งทอดหน้าตาเหมือนแป้งกะหรี่ปั๊บแผ่นใหญ่ นอกร้านมีน้องหมาหน้าตาเหงาเซื่องจดๆจ้องๆอยู่พอฝูงแก๊งลูกเป็ดพวกเราตื่นเต้นจะเข้าไปใกล้มันก็ถอยเท้าหนีอย่างกลัวๆแต่ก็ไม่ไปไหนยังแอบจ้องเราอยู่ท่าทางกล้าๆกลัวๆเพลินแอบสรุปในใจว่ามันคงเคยได้รับอาหารจากนักท่องเที่ยวเลยรอว่าจะมีใครใจดีแบ่งให้มันบ้างเราก็แอบเซลฟี่กับมันทีนึง
นั่งรถต่อกันมาพักใหญ่ๆก็ถึงจุดทางเชื่อมระหว่างแผ่นดินกับเกาะออลคอนซึ่งเจ้าเกาะออลคอนนั้นอยู่กลางทะเลสาบไบคาลอันกว้างใหญ่ปกติก็ต้องนั่งเรือไปเกาะไงทีนี้พอน้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งก็เป็นทางรถวิ่งผ่านได้เพราะน้ำแข็งมันแข็งแรงมากเราจึงแวะถ่ายรูปกับทะเลสาบน้ำแข็งเป็นครั้งแรกตรงนั้นเอง…
นี่ยังไม่ถึงตัวทะเลสาบจริงๆยังรู้สึกตื่นเต้นในความอลังการขนาดนี้เราแวะได้ไม่นานนักเพราะเค้าห้ามจอดนานจากนั้นก็แวะอีกจุดเพื่อชมรูปปั้นสำคัญ… เป็นรูปปั้นของผู้ที่ “เชื่อกันว่า” เป็นผู้บุกเบิกดินแดนไบคาลทะเลสาบไบคาลทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลกพอแข็งตัวด้วยอากาศที่เย็นจัดจึงแข็งแรงมากและเห็นเป็นสีเขียวเข้มดูลึกลับแปลกตามีรอยแยกแตกเหมือนหินอ่อนเหยียบไปครั้งแรกก็ลื่นนิดๆแต่ไม่เปียก! แปลกไหม… ไม่ได้หนาวน้ำแข็งเลยหนาวแต่อากาศนี่ล่ะ
ตำนานเล่าว่าเขาเป็นนักโทษจากคุกไซบีเรียที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายทั้งสภาพอากาศหนาวเหน็บและความเป็นอยู่นักโทษผู้นี้หลบหนีจากคุกได้และเดินทางทุ่งหิมะและน้ำแข็งยะเยือกมาจนถึงดินแดนแห่งทะเลสาบไบคาล
ไม่มีประวัติบอกว่าเขาเป็นใครชื่ออะไรมาจากไหน
ทีนี้เพลินเห็นครอบครัวนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แก๊งลูกเป็ดของเราได้ยินไกด์ฝรั่งของเค้าเล่าว่า… อะไรๆก็ฟังดูเข้าท่าหมดนะตำนานยกเว้นว่าเราดูเท้าของรูปปั้นมันเป็นเท้าเปล่า… ไม่ค่อยเมคเซนส์เนอะว่าจะเดินเท้าเปล่าจากคุกไซบีเรียมาจนถึงไบคาลได้ไงต้องตายก่อนแน่ๆ
เพลินก็เลยมองตาม…เออจริง
เราดื่มด่ำกับวิวบนเนินรูปปั้นเห็นเกาะแก่งที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะอยู่ด้านล่างกับหมู่บ้านน้อยๆข้างล่างแล้วยิ่งตื่นเต้น
นั่งรถต่อไปอีกเกือบชั่วโมงสู่เมืองKhuzhir ที่พักของเราอยู่เมืองนี้ซึ่งอยู่ค่อนไปทางกลางๆของเกาะเลยทางก็เป็นดินขรุขระสลับน้ำแข็งทำให้ต้องระมัดระวังเวลาขับรถเลยต้องใช้เวลานานหน่อย
( Map photo cr. Google เครดิตรูปแผนที่จากกูเกิ้ลนะคะ)
ไฮไลต์ที่เป็นแลนด์มาร์คของไบคาล (ที่เราต้องไปดูวันรุ่งขึ้น) ซะวันนี้เลย
นั่นก็คือBaikal Spirit กับ Shaman Rock บริเวณนี้เรียกรวมว่าBurkhan Capeหรือแหลมเบอร์คานเป็น 1 ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งเอเชีย
ชามานรอค (Shaman Rock)เป็นหินผาที่ยื่นออกมากลางทะเลแต่จุดที่พวกเรามาถึงเป็นเวิ้งผาถัดไปอยู่ใกล้ๆกันทำให้มองเห็นและถ่ายรูป Shaman Rock ได้สวยกว่าชัดเจนกว่า
ตอนเราเดินขึ้นผาต้องผ่าน Baikal Spiritเป็นแท่งไม้ปลายแหลมยาวๆเรียงรายกัน 5-6 แท่งเป็นจิตวิญญาณของไบคาลนั่นเองลมหนาวยะเยือกบาดผิวกันเป็นแถวๆยิ่งต้องเอามือออกจากถุงมือหนาอุ่นของพวกเราแล้วถือเป็นโมเมนต์ทรมานใจมากๆแต่ก็เพื่อให้ได้ภาพเวิ้งน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตาและชามานรอคที่ตั้งตระหง่านยื่นออกไปกลางทะเลน้ำแข็ง
Legend of Lake BAIKAL ตำนานความเชื่อของทะเลสาบไบคาล
ว่ากันว่าในอดีตกาลเทพเจ้าแห่งไบคาลมีลูก 5 คนคือแม่น้ำทั้งห้าโดยคนสุดท้องคือAngaraเป็นสาวงามตาสีฟ้าผมสีทองขึ้นชื่อลือชาเรื่องความงามเทพไบคาลรักและหวงอังการามากแต่วันหนึ่งอังการาก็ฉวยโอกาสตอนพ่อหลับหนีจากไบคาลไปหา Yenissei แม่น้ำนอกไบคาลเท่ากับอังการาหอบน้ำจากไบคาลเพื่อไปรวมกับ Yenissei
อังการาจึงเป็นแม่น้ำสายเดียวทีไม่ได้ไหลลงทะเลสาบไบคาลแต่ไหลออกนอกไบคาลสู่แผ่นดิน (ผ่านเอียร์คุตส์ด้วยถ้ายังจำได้)
เทพเจ้าไบคาลเมื่อตื่นก็โมโหโกรธาจนเกิดคลื่นลมปั่นป่วนพายุกระหน่ำจนโกลาหลกันไปหมดอีกทั้งปาหินตามไล่หลังอังการาไปอีกด้วยหินที่ว่าก็ตกอยู่กลางลำคออังการาพอดี (แต่นางไม่ตายนะจ๊ะ) หินขาดเป็นสองท่อนและหินที่ว่าก็คือ Shaman Rock นั่นเอง
อังการาร้องไห้อ้อนวอนพ่อแต่พ่อก็บอกว่า “I can give you only my tears!” หลังจากนั้นอีกหลายพันปีอังการาจึงแบกน้ำตาของตน (และของพ่อรึเปล่าไม่รู้ไม่แน่ใจ) ไปรวมกับ Yenissei เรื่อยมา
ที่นี่จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ
จากนั้นเราจึงเข้าที่พักชื่อโรงแรม Lada (Lada Resort)เป็นกึ่งๆรีสอร์ตลักษณะเป็นเรือนไม้แนวยาว 2 ชั้นตั้งขนานกันไม้ก็จะออกแนว log เหมือนกระท่อมเคบิน
เราเรียกสองตึกง่ายๆว่าตึกหลักกับตึกสองตึกหลักด้านล่างเป็นห้องอาหารทานมื้อเช้ามือเย็นก็ทานที่นี่ชั้นสองเป็นห้องพักคู่อีกสองสามห้องเป็นสัดส่วนส่วนตึกสองด้านล่างมีห้องพักคู่สองห้องแยกส่วนตัวด้านบนเป็นห้องรวมเหมือนแฟลตรวมนักศึกษาคือเปิดประตูมามีห้องนั่งเล่นใหญ่ตรงกลางแล้วมีห้องนอนคู่แยกเป็นห้องๆอีก 6 ห้องมีห้องส้วม 2 ห้องและห้องอาบน้ำรวมในห้องอาบน้ำก็แยกเป็นที่อาบน้ำสัดส่วนหนึ่งห้องและอ่างล้างหน้าอีก 3 อ่างเรียกได้ว่าสะดวกสบายแม้นอนรวมเพลินได้อยู่ตึกสองนี้แหละค่ะ
ดินเนอร์ทานที่รีสอร์ตนี้แหละค่ะอร่อยใช้ได้เลยทั้งของคาวของหวานของหวานก็หวานกำลังดีไม่เลี่ยนเกิน
มื้อเย็นหลังทานอาหารก็มาตั้งวงเล่นเกมส์เล่นไพ่ไรกันกลางห้องแล้วผลัดกันไปอาบน้ำ
เสียงสังสรรค์ดังลั่นจนเจ้าของโรงแรมโผล่หน้ามาดูหลายครั้ง
Day 4
จะบอกว่าการเที่ยวบนเกาะและลุยทะเลสาบน้ำแข็งต้องใช้รถที่ถึกจริงๆเพราะทางโหดมากพวกเราจึงต้องเปลี่ยนรถอีกครั้งเป็นรถตู้แบบรัสเซียแท้สมรรถนะสูงรถนี้จะเล็กกว่ารถตู้เดิมเราเลยต้องใช้ 3 คันแทน
เราเที่ยวในเกาะ 2 วันเต็มๆวันแรกจะอยู่ทางตอนเหนือของเกาะได้สัมผัสทะเลสาบไบคาลที่กลายเป็นผืนน้ำแข็งกว้างใหญ่ไพศาลแบบเต็มๆ
และท่ามกลางอากาศ -20 องศา!
ตอนเหนือของเกาะน้ำในทะเลสาบจะลึกกว่าเข้มกว่าตอนใต้มีรอยแตกที่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับน้ำแข็งบ้างและรอยแยกกะเทาะออกมาอุดด้วยหิมะอิเลียเล่าว่าเป็นเพราะคลื่นใต้ทะเลสาบลึกลงไปที่ไม่ได้เป็นน้ำแข็งกระเพื่อมคลื่นขึ้นมาบริเวณผิวน้ำส่วนไหนที่เปราะกว่าส่วนอื่นก็จะถูกดันนูนขึ้นมา
แต่ทะเลสาบน้ำแข็งนี่แข็งแรงมากไม่ต้องกลัวยวบสูบลงไปใต้น้ำนะคะถึงส่วนที่แข็งจะประมาณ 1-2 เมตรก็ตามแต่เค้าบอกว่ารับน้ำหนักได้เป็น 10 ตันเพราะเป็นมวลน้ำแข็งทั้งทะเลสาบนี่นา
เราใช้เวลาอยู่แต่ละที่ราว 15-30 นาทีก็ขึ้นรถเปลี่ยนไปชมทะเลสาบน้ำแข็งและถ้ำน้ำแข็งอีกหลายที่รวมทั้งถ้ำน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อยอ้าวก็ทุกทีถ้ำทั่วไปเค้าเป็นหินงอกหินย้อย
แต่ถ้ำน้ำแข็งก็เป็นน้ำแข็งงอกน้ำแข็งย้อย
รวมถึงแหล่งก้อนน้ำแข็งเรียงราย… สมเป็น Blue Eyes of Siberia
Food for Thought about Lake BAIKAL เรื่องน่ารู้ของทะเลสาบไบคาลเป็นแหล่งน้ำจืดที่ดื่มได้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนึ่งในห้าของน้ำที่ดื่มได้ในโลกนี้มาจากทะเลสาบไบคาล
-
พื้นที่ขนาดใหญ่เทียบเท่าประเทศย่อมๆอย่างเบลเยี่ยมหรือเนเธอร์แลนด์
-
มีขนาดเทียบเท่าทะเลสาบใหญ่ๆ 5 แห่งรวมกัน
-
เป็นทะเลสาบที่ใสและลึกที่สุดในโลก (ลึก 1,637 เมตรหรือราว 1.6 กิโลเมตร)
-
เก่าแก่ที่สุดในโลกอายุราว 20-30 ล้านปี
-
หากโลกนี้ไม่มีน้ำใช้แล้วแต่อิเลียเล่าอีกแบบว่ามีการคำนวณว่า หากใช้น้ำในทะเลสาบไบคาลเลี้ยงคนทั้งโลก โดยให้โควต้าคนละ 1 ลิตร จะเลี้ยงคนทั้งโลกได้เกือบ 20 ล้านปี(ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยปนทึ่ง ทึ่งในความยิ่งใหญ่ของไบคาล ส่วนสงสัยคือสงสัยว่าตัวเองฟังมาถูกป่ะเนี่ย)
ที่บอกว่าสุดระทึกก็คือไม่มีห้องน้ำ… ต้องหามุมแยกใครแยกมันทิชชู่เปียกสำคัญมากแต่จะว่าไม่มีห้องน้ำก็ไม่เชิงหรอกมีกระต๊อบสามเหลี่ยมเล็กๆหน้าตาเหมือนเพิงสามเหลี่ยมที่มีประตู… นั่นคือห้องน้ำเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้
แต่ไม่ใช่ห้องน้ำธรรมดา… เปิดประตูจะเห็นรูส้วมที่พื้นสองข้างและด้านหลังเป็นกองขยะพวกทิชขู่ผ้าอนามัยสยองมากค่ะเวลาเข้าก็ต้องหลับหูหลับตาไม่สิ…หลับไม่ได้ถ้าหลับจะลื่นเพราะพื้นที่เหยียบเป็นน้ำแข็งสีตุ่นๆไม่อยากจะคิดว่าเป็นน้ำจากอะไร
พอนาทีระทึกผ่านไปก็ได้เวลาทานอาหารกลางสายลมหนาว
คนขับรถพวกเราแปลงร่างเป็นพ่อครัวทำข้าวต้มปลากันตรงนั้นจุดฟืนตั้งไฟใส่ข้าวใส่เนื้อสัตว์ขณะที่พวกเราแก๊งลูกเป็ดถ่ายรูปสวยๆกันอยู่
ลมหนาวยะเยือกมาเจอข้าวต้มร้อนๆก็ช่วยได้เยอะจะว่าไปเค้าก็ทำอร่อยดี
ปลาที่กินเป็นปลาโอมุล (Omul)ของที่นี่ด้วยนะ
จากนั้นก็ลุยทุ่งหิมะ ทุ่งน้ำแข็งอีกหลายแห่ง มีทั้งที่เป็นกองหิมะร่วนๆ หย่อมๆ กระจัดกระจายจนพวกเราแซวว่ามันเหมือนนาเกลือชอบกล
เหมือนกองทรายในทะเลทราย แต่เป็นหิมะในกองน้ำแข็งแทน
นั่งเล่นเก้าอี้น้ำแข็ง (ธรรมชาติ)
ชมความงามตามธรรมชาติ ทุกอย่างล้วนสวยงามในตัวมัน
ตกเย็นเรากลับเข้ารีสอร์ตเดินเล่นถ่ายรูปหน้าโรงแรมในเขตโรงแรมจะเป็นย่านที่อยู่อาศัยจะไม่ใช่ทุ่งน้ำแข็งหนทางกันดารแบบที่เราออกไปเที่ยวกลางวันเราจะเห็นบ้านไม้แบบท้องถิ่นกระจายห่างๆกันแถวนั้นไม่กระจุกตัวมากหิมะขาวโพลนห่อหุ้มทุกครัวเรือนต้นไม้ใบหญ้าไว้หมดมีสุนัขหน้าตาแบบหมาป่าวิ่งมาด้อมๆมองๆขามันกะเผลกๆจ้องมองพวกเราอย่างงงๆแล้วก็เดินไปฉี่ตามโคนต้นไม้ต่างเนื่องจากมีต้นไม้เรียงรายกันหลายต้นแก๊งลูกเป็ดเลยตั้งวงถ่ายรูปกันตรงนั้นมันสงบเงียบไร้คนพลุกพล่านเป็นบริเวณของเราเต็มที่… ภาพที่ออกมาก็ไม่ค่อยเหมือนเกาะน้ำแข็งออลคอนแต่เหมือนเกาะนามิของเกาหลีมากกว่าฮ่าๆุุ_ภ
Day 5
วันนี้เราจะลงไปตอนใต้ของเกาะซึ่งน้ำในทะเลสาบตอนใต้เกาะนี้จะเรียกว่า “ทะเลใน” น้ำจะใสกว่าและไม่ลึกเท่าตอนเหนือ (ยังไงมันก็ลึกอยู่ดีค่ะสำหรับพวกเรา)
แต่ไฮไลต์ของน้ำแข็งตอนใต้คือจะมีฟองอากาศหรือ Bubbleนั่นเองซึ่งจะไม่เห็นในทะเลสาบตอนเหนือ
สวยมากจริงๆค่ะ
เจ้าบับเบิ้ลคือฟองอากาศใต้น้ำแข็งที่เกิดจากการถูกฟรีซฉับพลันบวกด้วยก๊าซออกซิเจนปริมาณมากบับเบิ้ลบางที่จะผสานก๊าซมีเทนที่โรงงานบางแห่งปล่อยออกมาด้วยก็จะได้ลักษณะฟองแตกต่างกัน… บางบริเวณส่องดูจะเห็นสาหร่ายทะเลหรือพวกแพลงตอนด้วยนะ
มื้อกลางวันนั้นเรากินข้าวต้มฝีมือคนขับรถอีกเช่นเคยคราวนี้มีเนื้อหมูด้วยกินกลางอากาศติดลบยี่สิบริมทะเลสาบน้ำแข็งมันก็จะอร่อยได้ฟีลอีกหลายเท่า
เพลินเติมสองถ้วยด้วยเอ้า…ก็มันย่อยเร็วนี่นาข้าวต้มหลังจากนั้นช่วงบ่ายเราก็มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะน้อยๆชื่อว่า Ogoy Islandจริงๆเจ้าเกาะนี้เค้าห้ามรถวิ่งไปค่ะเหมือนมันจะมีโซนที่ได้รับอนุญาตหรือสำรวจแล้วให้ผ่านไปได้กับบริเวณที่ไม่อนุญาตตอนแรกเราเกือบไม่ได้ไปแล้วเพราะมีเฮลิคอปเตอร์บินว่อนเลย… นั่นคือตำรวจคอยตรวจว่ามีใครแอบขับไปบริเวณต้องห้ามหรือไม่ ถ้าจับได้คนขับโดนเลยนะคะ
เราเกือบจะเปลี่ยนโปรแกรมแล้วแต่พอดีพวกคนขับข้างหน้าได้รับสัญญาณบอกกันต่อว่าปลอดภัยแล้วก็เลยมุ่งหน้าสู่เกาะ Ogoyกันต่อ
นึกสภาพก่อนว่าเกาะออลคอน (Ol’Khon Island) ที่เรามาพักมาเที่ยวตอนเหนือตอนใต้กันเนี่ยเป็นเกาะใหญ่ที่สุดและอยู่กึ่งกลางทะเลสาบไบคาลทีนี้ระหว่างแผ่นดินกับเกาะออลคอนก็จะมีเกาะแก่งเล็กน้อยกระจายอยู่แต่ละเกาะก็มีเนินเขาเนินผาอะไรของตัวเองเจ้าเกาะOgoy (โอกอย)นี่ก็เป็นเกาะเล็กๆเกาะนึงในเวิ้งทะเลสาบนี่และอยู่ระหว่างแผ่นดินกับเกาะออลคอน
( Map photo cr. Google เครดิตรูปแผนที่จากกูเกิ้ลนะคะ)
Ogoy นี้ไม่ใช่เกาะธรรมดาแต่เป็นเกาะที่มีสถูปศักดิสิทธิ์ประดิษฐานอยู่…
ไม่ต้องงงจ้ะว่า… สถูปแบบพุทธทำไมมาโผล่ที่เกาะน้ำแข็งประเทศรัสเซียล่ะ
อย่าลืมว่าไซบีเรียอันกว้างใหญ่นี้กินพื้นที่มาถึงตอนใต้ของรัสเซียตอนเหนือของมองโกเลียยิ่งทะเลสาบไบคาลนี่อยู่ตะเข็บชายแดนรอยต่อกับมองโกเลียเลยก็จะรับความเชื่อศาสนาพุทธแบบมหายานผสานกับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าพื้นเมืองมาด้วย
ชนพื้นเมืองดั้งเดิมของไบคาลคือชาวBuryatsมีเชื้อสายมองโกเลียดังนั้นเราจะเห็นคนหน้าตาตี๋ๆมองโกลเอเชียๆที่นี่ประปรายบ้างเป็นลูกผสมกับทางรัสเซียก็จะได้หน้าตาฝรั่งตี๋หล่อดีรูปร่างสูงใหญ่
เราต้องปีนขึ้นเขาไปจนถึงสถูปศักดิ์สิทธิ์ต้องขึ้นเขานี่คือขึ้นจริงๆนะคะ
หอบแฮ่กๆกันกลางอากาศหนาว
ระหว่างทางจะเห็นกองหินเรียงกันอย่างมีนัยยะ จริงๆ มีหินเรียงกันแบบนี้ทั่วไปในเกาะออลคอน และโอกอยค่ะ เป็นความเชื่อทางศาสนา
จริงๆสถูปนี้มีกระจายทั่วไปในไซบีเรียและแถบไบคาลแต่สถูปแห่งนี้เป็น 1 ใน 5 สถูปศักดิ์สิทธิ์แห่งไบคาลเพลินถามอิเลียมาเขาอธิบายว่าสถูปนี่เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องคุ้มครองไบคาลและเทพของสถูปนี้เป็นผู้หญิงชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว
เราเลยเห็นธงมนตราที่จะผูกต้นไม้กิ่งไม้ใกล้ๆสถูป (หรือแม้แต่ทั่วไปในเขตไบคาล) ซึ่งถ้าหากใครเคยไปเนปาลภูฏานทิเบตจะเห็นธงมนตราแบบนี้อยู่ทั่วไปเขาเชื่อว่ามนต์ที่จารึกลงบนธงผูกไว้ลมจะหอบมนตราศักดิ์สิทธิ์กระจายปกคลุมคุ้มครองทุกคน
คนที่จะมาไหว้สักการะบางคนที่เคร่งก็จะเดินวนขวารอบสถูป 3 รอบพร้อมตั้งจิตสำรวมค่ะเพลินก็วนสามรอบเหมือนกันและไหว้สักการะหน้าสถูปอีกสองครั้ง
มองจากด้านบนนี้จะเห็นวิวที่มหัศจรรย์จนบรรยายแทบไม่ถูกเกาะน้อยใหญ่แถวนี้เต็มไปด้วยหุบเขาสูงชันปกคลุมด้วยต้นหญ้าอ่อนๆที่บัดนี้ถูกปุยหิมะและเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมเมื่อมองจากตรงนี้ทะเลสาบที่โอบล้อมเกาะเหล่านั้นเห็นคล้ายเป็นเป็นริ้วคลื่นแม้ถูกฟรีซแข็งมีแต่ธารน้ำแข็งเวิ้งว้างกว้างไกลและเกาะแก่งหุบเนินสีขาวเย็นเยือก
เราลงเขากลับขึ้นรถเพื่อจะไปอีกเขานึงเดินขึ้นไกลจนไม่คิดว่าจะขึ้นไปได้ (จริงๆก็ไม่ได้ไกลมากแต่อากาศหนาวเราเลยท้อแท้นิด) ลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆจนไปยืนบนปลายผาได้แป๊บเดียวก็ขอบายกลับลงไปนั่งในรถ
แต่แค่ได้เห็นหน้าผาอลังการด้านล่างเป็นทุ่งน้ำแข็งสุดลูกตาก็ฟินแล้วล่ะ
Day 6
เป็นอีกวันที่นั่งรถกลับเอียร์คุตส์เดินทางทั้งวันแต่ก็มีแวะชมวิวถ่ายรูปตามทางบ้าง
รอบนี้เลยเจอน้องกวางหิมะตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทางดูสงบและสง่าอย่างบอกไม่ถูก
และยังเห็นธงมนตร์อยู่เช่นกัน
กลางวันก็แวะกินร้านอาหารเดิมคราวนี้สั่งอาหารเป็นชุดๆแบ่งตามกรุ๊ปโต๊ะเพื่อให้ได้อาหารที่ต้องการมีเค้กกับซุปบีทรูทที่ต่างจากวันนั้นและมีเสี่ยวหลงเปาด้วยแน่ะอร่อยดีกลับถึงเอียร์คุตส์ตอนเย็นชาวแก๊งลูกเป็ดก็ยกขบวนไปห้างกันต่อเพลินเพลียๆอยากนั่งจัดของเรียบเรียงรูปเลยขออยู่โรงแรม
อ้อเรากลับมาอยู่โรงแรมเดิมนะคะโฮสเทลแมวเหมียวของเรา Hostel Good Cat นะเองน้องพลอยใจดีซื้อสลัดไก่มาฝากเพราะคนอื่นๆทานมื้อเย็นกันที่ห้างแล้ว
Day 7
วันนี้ออกนอกเมืองเอียร์คุตส์ไปเมืองListvyanka (ลิสต์เวียงก้า)นั่งกระเช้าขึ้นเขาไปดูวิวเทพๆเช่นเคยแต่คราวนี้จะมีหิมะมากกว่าน้ำแข็งเรียกว่าเป็นภูเขาหิมะที่แท้ทรูและหิมะก็จะปุยละเอียดกว่าหิมะที่อื่นที่เพลินเคยเจอเหยียบไปก็ยวบๆ
ถึงจะขึ้นกระเช้าแล้ว เราก็ต้องปีนเขาต่อเหมือนกันค่ะ แต่เป็นภูเขาหิมะร่วนๆ เลย ขาวโพลนไปทั่วทั้งเขา
ในที่สุดก็ขึ้นไปถึงยอด เป็นจุดชมวิวที่สวยจับใจ เพราะเห็นวิวลิสเวียงก้าทั้งหมด เลยไปถึงทะเลสาบไบคาล
มีทั้งเวิ้งทะเลหิมะ และทะเลน้ำแข็งไกลสุดลูกหูลูกตา
บริเวณจุดชมวิวนักท่องเที่ยวจีนเพียบเลยค่ะ เบียดเสียดกันน่าดูกว่าจะได้ชมวิว หรือได้รูปที่ไม่ติดคน
และตรงจุดชมวิวสูงสุดนั้นเองมีศาลา เป็นกึ่งเพิงหินเล็กๆ ให้หลบหนาว หรือนั่งพัก ก็จะมีหินก่อเรียงอย่างนี้และนักท่องเที่ยวลงชื่อตัวเองเสร็จสรรพ
เพลินไม่ได้ทำนะคะ รู้สึกสงสารธรรมชาติ
ใกล้ๆ ก็มีธงมนตร์อีกเช่นกันค่ะ ธงมนตร์จะมีทั่วในแถบนี้เลย
แอบคิดเองว่าวันนี้หนาวน้อยกว่าที่เกาะคือก็หนาวแหละติดลบเกือบยี่สิบองศาอยู่ดีหรือเพราะเราชินแล้ว? ก็ไม่น่าใช่นะ
จากกระเช้าเรากลับลงเขา
นั่งรถไปราวยี่สิบนาทีก็เข้าพิพิธภัณฑ์ไบคาล (Baikal Museum)ที่จัดแสดงสัตว์น้ำสายพันธุ์ต่างๆที่พบเห็นได้ในทะเลสาบซึ่งหาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้เช่นแมวน้ำไบคาลปลาน้ำจืดหลายสายพันธุ์รวมทั้งปลาโอมุลที่เค้าห้ามล่าห้ามตกแล้ว (เลยสงสัยถามอิเลียไปว่าถ้างั้นทำไมเรายังได้กินปลาโอมุลตอนอยู่บนเกาะออลคอนล่ะคนขับรถทำข้าวต้มปลาให้เขาบอกว่านี่เป็นปลาโอมุลตอนโยนชิ้นปลาสับเข้าไปในหม้อ) แบบจำลองเมืองเอียคุตส์ละทะเลสาบไบคาลที่ทำให้เห็นความน่าทึ่งของการเกดทะเลสาบไบคาลย้อนกลับไปถึง 25 ล้านปี
เราจึงได้เห็นว่าทะเลสาบแห่งนี้มีความหลากหลายและสมบูรณ์ทางนิเวศวิทยาที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกทั้งยังแสดงเรื่องราวการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนไซบีเรียและบริเวณทะลสาบแห่งนี้ออกจากพิพิธภัณฑ์มาพี่ตี้ก็ต้อนให้เราไปถ่ายรูปฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นจุดชมวิวสำคัญ… นั่นคือจุดเชื่อมต่อปากอ่าวทะเลสาบไบคาลแต่นางให้เวลา 10 นาทีเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเวลาทานข้าวซื้อของถ้าช้าจะไปไม่ทัน Dog Sledding
จากนั้นเราก็นั่งรถเข้าตลาดเมืองลิสเวียงก้าเพื่อทานมื้อเที่ยงมื้อเที่ยงไม่รวมในค่าทัวร์นะจ๊ะให้อิสระทานเองตลาดจะเป็นลักษณะขายของที่ระลึกและขายอาหารพวกไก่ปิ้งแกะย่าง
ด้านข้างสองข้างเป็นร้านอาหารแบบ proper ซึ่งก็ย่างไก่ย่างหมูกันหน้าร้านนั่นล่ะพวกเราก็เลยสุ่มเข้าร้านทางซ้ายมืออีกแก๊งเข้าทางขวามือซึ่งพอมาคุยกันเมนูเหมือนๆกันคือมีไก่ย่างหมู่ย่างซึ่งอร่อยมากน้ำจิ้มก็เผ็ดร้อนใช้ได้
ทานเสร็จเราก็ลงมาลุยตลาด
ร้านแรกสุดด้านหน้าเป็นร้านขายถั่วและผลไม้อบแห้ง… คนขายหล่อมากเป็นพ่อค้าแซบตัวสูงใหญ่ผิวสะอาดสะอ้านเป็นฝรั่งตี๋ยิ้มทีสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายละลายทีเดียวนางจะให้ชิมเมล็ดสนเป็นระยะๆแต่เรากลับสนใจอินทผาลัมมากกว่า…
คือยังไงก็อุดหนุนนะคะฮ่าๆ
จากนั้นเข้าไปในตัวตลาดก็มีของที่ระลึกตั้งแต่พวงกุญแจโปสการ์ด (ดีใจมากหาโปสการ์ดมาตลอดทั้งทริปไม่มีเลยค่ะเชื่อไหมเพิ่งเจอวันนี้) หมวกถุงมือพวกอุปกรณ์กันหนาวสไตล์มองโกลตุ๊กตาแมวน้ำเพลินได้หมวกมองโกลมาใบนึงตุ๊กตาแมวน้ำตุ๊กตาแม่ลูกดก (Matriochka)และจานเพ้นท์สีค่ะ (เพลินสะสมจานเพนท์จากประเทศต่างๆอยู่)
พอบ่ายสองครึ่งเราก็มุ่งหน้าสู่ Mamay Huskyที่เราจะไปนั่งหมาลากเลื่อน (Dog Sledding) ให้เจ้าฝูงหมาไซบีเรียนฮัสกี้ลากเราวิ่งกับขี่Snow Mobileลุยทุ่งหิมะกันเกือบสามโลหรือมากกว่านั้น
เค้าให้เราหลบหนาวกันในกระโจมและแบ่งกลุ่มผลัดกันสำหรับกลุ่มสโนว์โมบิล (คันละ 2 คนจับคู่กัน) และกลุ่มที่เล่นหมาลากเลื่อน (one by one) เลื่อนนึงเล่นได้คนเดียวนะคะมีหมาฝูงหนึ่งต่อหนึ่งเลื่อนเจ้าหน้าที่จะปล่อยทีละ 2 ชุดค่ะก็เท่ากับรอบนึงจะปล่อย 2 เลื่อน (หมา 2 ฝูง)เพลินขี่สโนว์โมบิลก่อนสรุปเป็นคนซ้อนนะคะฮ่าๆพี่อาร์มเป็นคนขับเราต้องใส่ผ้าปิดหน้าใส่หมวกกันน็อคกันหิมะและลมเข้าตาระหว่างนั่งไปนี่ต้องจับราวแน่นเลยเพราะทางจะลุ่มๆดอนๆและไกลมากสนุกมาก
เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกตอนรถพุ่งมุ่งหน้าไปสู่ทุ่งหิมะกว้างใหญ่จังหวะนึงรถเราเลี้ยวแล้วติดหล่มยกมือให้คนขี่นำ (เจ้าหน้าที่) วกกลับมาช่วยไม่ได้อันตรายอะไรนะคะแต่เราขึ้นเองลำบากเค้าจะให้เราลงรถก่อนและเค้าจะดันรถขึ้นมาจากหล่มหิมะทีนี้ตอนจะลงรถออกมานี่เหยียบพื้นไปปุ๊บยวบ… หิมะปุยละเอียดท่วมลึกถึงเข่า
เราก็อารามตกใจเฮ้ยลึกแค่ไหนเนี่ยแต่มันก็… พอเดินได้ค่ะแล้วแค่เดินอ้อมรถขึ้นมาตะเกียกตะกายนิดหน่อยก็โอเคละขี่ต่อค่ะ…
ลมแรงจนผมกระจายมาในผ้าปิดหน้าจนคันจังหวะที่พี่อาร์มชะลอรถเพลินก็รีบถอดถุงมือข้างนึงจะจัดทรงปรากฎรถออกต่อจ้า… ถุงมือเลยปลิวหายไปข้างนึงมือข้างนั้นก็หนาวกรี๊ดไปค่าพยายามหันไปมองข้างหลังก็มองไม่ถนัดเลยได้แต่ปลงเมื่อห่างจากจุดที่ถุงมือตกมาไกลมากแล้ว…
ทิ้งไว้กับกองหิมะ...
จากสโนว์โมบิลเพลินก็รอพักใหญ่ๆถึงจะได้เล่นน้องหมาคนฝึกบอกว่าเป็นPure Blood Siberian Huskyคือไซบีเรียนฮัสกี้พันธุ์แท้
ตัวน้องหมาเค้าก็ใหญ่และอดทนต่อความหนาวได้ดูท่าทางมันไม่หนาวเลยแต่คึกคักอยากออกวิ่งมากกว่าสังเกตเห็นมันซอยเท้าใหญ่ท่าทางอยากกระโจนวิ่งเต็มที่แต่ยังไม่ได้รับคำสั่ง
พี่ตี้อธิบายว่าหมาคู่หน้าเป็นหัวหน้าฝูงอย่าไปเล่นกับมันเพราะมันจะดุมาก (ถึงเป็นผู้นำฝูง) คู่หลังๆจะเป็นมิตรเพราะเป็นหมาเด็กก็จะมีงอแงแตกแถวตีกันบ้างอะไรบ้าง
พี่อาร์มเล่าว่าตาพี่อาร์มขณะที่กำลังวิ่งลากเลื่อนน้องหมาบางตัวแวะฉี่ด้วยค่ะ
สนุกมากเพลินชอบหมามากเห็นมันวิ่งคึกคักเราก็สดชื่นไปด้วย (แม้ว่ามือที่กดถ่ายวิดิโอจะฟรีซแข็งแทบขาดใจก็ตาม)
เค้าจะเปลี่ยนหมาทุกสองรอบค่ะจะมีเซทสำรองผลัดเปลี่ยนกันตัวสำรองก็จะอยู่ในรถมีลูกกรงพักผ่อนมันก็จะร้องโบร๋วๆเป็นระยะแสดงอาการว่าฉันเบื่อขอฉันวิ่งหน่อย
เนื่องจากที่เล่นสโนว์โมบิลกับหมาลากเลื่อนอยู่ใกล้เอียร์คุตส์เราเลยแวะที่นี่เป็นที่สุดท้ายก่อนกลับเอียร์คุตส์แม้ว่าเหนื่อยแล้วแต่ทุกคนก็ยังอยากไปห้างต่อจะได้รวดหามื้อเย็นทานก็เลยแวะห้างที่เพลินไม่ได้ไปเมื่อวาน (คนละห้างกับวันแรก) ไปเดินซื้อซูชิทานอร่อยมาก (อย่างไม่น่าเชื่อ) และไปนั่งกินที่ฟู้ดคอร์ตชั้นสี่ (ซูชิอยู่ชั้นล่าง) แก๊งลูกเป็ดหลายคนหมายตาอาหารที่ฟู้ดคอร์ตไว้ค่ะเพลินเลยไปกินไอติมที่นั่นตบท้าย
แหล่งชอปสำคัญคือเครื่องกันหนาวของยี่ห้อโคลัมเบีย (Columbia) ที่ชั้นล่างเมื่อวานที่เค้ามากันได้โคลัมเบียไปหลายตัวในราคาถูกกว่าเมืองไทยมากมาย (วันนี้ทุกคนเลยใส่เสื้อใหม่มาประชันกันใหญ่) เพลินไปลองดูแต่ไม่มีแบบไหนถูกใจบวกกับมีเครื่องกันหนาวเพียงพอแล้ว (โคลัมเบียก็มีเยอะแล้วมงเบลก็เยอะแล้ว) ไม่ควรซื้ออีก
คืนนั้นเราแพคกระเป๋าเดินทางกันตาตั้งเค้าให้ 23 กิโลแต่ขามาก็ 23 กิโลแล้วจะเกินไหมนี่…
แล้วมีเฉลยบัดดี้ด้วยค่ะ… ใช่เราเล่นบัดดี้กันคืนนั้นเฮฮากับแพคกระเป๋ากว่าห้องเพลินจะได้นอนก็ตีสองต้องตื่นตีห้านะคะ…
Day 8: พร้อมอำลาไบคาล, เอียร์คุตส์
เพิ่งได้เห็นสนามบินเอียร์คุตส์ชัดเต็มตาก็วันกลับเพราะขามาเรามาถึงเที่ยงคืนทุกอย่างมืดสนิทสนามบินเค้าสีฟ้าหน้าตาน่ารักเชียวไม่ใหญ่มากค่ะกำลังพอดีๆ
จบทริปตะลุยทะเลสาบน้ำแข็งแห่งไซบีเรียค่ะ สนุก สดชื่น อากาศบริสุทธิ์ และได้ทั้งเสียงหัวเราะของมุกตลกที่ทุกคนปล่อยกันไม่ยั้ง
ไม่มีอะไรจะเยียวยาความหนาวยะเยือกของอุณหภูมิติดลบยี่สิบองศาได้เท่าเสียงหัวเราะแล้วล่ะจริงไหม..
การเตรียมตัว
แลกเงินรูเบิ้ล
เตรียมแผ่นความร้อนแปะเท้าแปะตัวหรือแผ่นกำขยำใส่ในกระเป๋าเสื้อแนะนำให้เตรียมไปเยอะๆ 30-40 แผ่นเลยเพราะอาจแปะหลายจุดเช่นเท้าข้างละ 2 บางคนข้างละ 4 หน้าท้องหน้าขา
ถุงเท้าบุขนและถุงเท้าฮีทเทค (อาจใส่สองชั้น)
ถุงมือหนาบุขน
ปากกาจิ้มหน้าจอ (หนาวมากบางทีจะได้จิ้มเอาไม่ต้องถอดถุงมือ)
เสื้อฮีทเทค
เสื้อลองจอน
เสื้อฟลีตหรือสเวตเตอร์ไหมพรม
เสื้อดาวน์
แจ็กเก็ตกันลม
กางเกงลองจอน
เลกกิ้งฮีทเทค
กางเกงบุขน
ใส่ 3-4 ชั้นแล้วแต่ประเภทเสื้อผ้าที่เตรียมไปและความขี้หนาวของแต่ละคนไม่เท่ากัน
เพลินเตรียมลองจอน Base Layer ของ Columbia ที่มีเทคโนโลยี Omni Heat ทั้งบน–ล่างไว้ใส่วันที่อยู่เกาะใส่ชั้นในสุด
ตามด้วยเสื้อ Heat Tech ของ Uniqlo รุ่น Ultra Warm (คือรุ่นสูงสุดค่ะ Extra warm ก็ไม่ช่วยนะคะต้อง Ultra)
ตามด้วยเสื้อ Fleet ของ Columbia หรือสเวตเตอร์ไหมพรม
ทับด้วยตัวนอกเป็นแจ๊กเก็ตโคลัมเบียรุ่นที่ผสมดาวน์แจกเก็ตกับตัวกันลมไว้ด้วยกันจะได้ไม่ต้องใส่หลายชั้นเกินไป
หรือบางวันถ้านอกสุดไม่ใส่โคลัมเบียตัวนี้ก็จะใส่ MontBell เป็นดาวน์แจ็กเก็ตรุ่นขนห่าน 100 (ขนห่านจะอุ่นกว่าขนเป็ดและโพลีเอสเตอร์) และเป็นรุ่นที่กันลมด้วยก็จะเพรียวกว่าใส่โคลัมเบียตัวนั้นค่ะ
ส่วนหมวกก็เอาที่มีปิดปากบังหน้าซื้อที่ร้านจีนแถวพระโขนงอุ่นใช้ได้เลยค่ะบางรุ่นอย่างรุ่นนี้มีปลอกกันหนาวที่คอคู่ด้วยใส่ตัวนี้เพลินไม่พันผ้าพันคอเลยเพราะเจ้าปลอกคอกันหนาวนี่ด้านในบุขนและกระชับกับคอกันหนาวได้แต็มที่ค่ะรองเท้าซื้อบู้ตโคลัมเบียรุ่นนี้เขียนชัดว่ากันหนาวได้ถึงอากาศ -25 องศากันน้ำกันหิมะได้แถมมีระบบซัพพอร์ตเท้าให้เดินไกลได้ไม่เจ็บ
เดี๋ยวจะทำรีวิวเครื่องกันหนาวแยกต่างหากนะคะ จุ๊บๆ จนกว่าจะพบกันใหม่Italy is calling… คราวนี้ไม่ใช่เมืองนักท่องเที่ยวนะจ๊ะ จะล่องใต้ไปเมืองแปลกๆ ค่า
ถามข้อมูลเพิ่มเติมในคอมเม้นต์ได้นะคะ พอดีมันขึ้นคนถามในเมลกันมาเยอะเลยค่า เดี๋ยวเพลินจะมาตอบในนี้ให้ค่ะจะได้สะดวกดีด้วยค่ะ ^^
LikeLike
สนใจไปไบคาลแต่เดินทาางคนเดียว จองตั๋วแล้วยังติดต่อไม่ได้เลยอีกอย่างพูดอ่านอังกฤษไม่ออกด้วยค่ะ
โปรดแนะนำและช่วยหน่อยค่ะเดินทาง4-5วันค่ะในไบคาล
LikeLike
สนใจไปไบคาลแต่เดินทาางคนเดียว จองตั๋วแล้วยังติดต่อไม่ได้เลยอีกอย่างพูดอ่านอังกฤษไม่ออกด้วยค่ะ
โปรดแนะนำและช่วยหน่อยค่ะเดินทาง4-5วันค่ะในไบคาล ยังไม่จองอะไรเลยมีตั๋วเครื่องลงอย่างเดียว
ขอบคุณค่ะ
LikeLike
สวัสดีค่ะ หากพูดอังกฤษไม่ได้ไม่แนะนำให้เดินทางคนเดียวนะคะ และคนรัสเซียพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ค่ะ แนะนำควรติดต่อไกด์จากไทยที่ช่วยประสานงานได้ค่ะ อย่างน้อยให้เค้าประสานงานหาไกด์ท้องถิ่นได้ค่ะ
LikeLike
หากมีข้อสงสัย คอมเมนต์ในนี้ได้เลยนะคะ เพราะมีอีเมลส่งไปเยอะมาก คอมเมนต์ในนี้สะดวกดี เพลินตอบได้ไวด้วยค่ะ
หรือถ้าอีเมล ให้เมลมาที่ ploenthejourney@gmail.com ได้เลยค่ะ
LikeLike
this blog is nice! Baikal is good
LikeLike
ไม่ทราบว่าคุณเพลินไปกับทัวร์อะไรคะ อ่านแล้วดีมากเลยค่ะ:)
LikeLike
แบบจัดกันเอง รวมจำนวนคนแล้วจ้างหัวหน้าทัวร์ที่ชำนาญทางดีลกับไกด์ท้องถิ่นที่นั่นให้ค่ะ ชื่อคุณตี้ แต่ตอนนี้พี่ตี้ไม่จัดแล้ว ส่งต่อให้เพื่อนอีกคนแทน ยังไงเดี๋ยวขอค้นคอนแทคแล้วส่งให้นะคะ ^^
LikeLike
ได้คอนแทคเพื่อนคุณตี้แล้วค่ะ ชื่อคุณตาล
ติดต่อทางไลน์ได้เลยค่ะ
Line ID: Inthebigmango
Tel: 0814475663
ขอบคุณที่ติดตามนะค้า
LikeLike
รบกวนสอบถามคะ ตอนนี้สามารถสอบถามคุณตาลเรื่องทัวร์ได้อยู่หรือไม่คะ
LikeLike
ลองติดต่อคุณตาลได้เลยค่ะ
Line ID: Inthebigmango
Tel: 0814475663
บอกว่ามาจากบล็อกของเพลินก็ได้ค่า
LikeLike
รองเท้าบูทcolumbiaซื้อที่ไหนคะ
LikeLike
สวัสดีค่ะ ซื้อได้ที่ชอป Columbia ได้เลยค่ะ พารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ก็มีค่ะ
ขออนุญาตฝากลิงค์บล็อกรีวิวการเตรียมเครื่องกันหนาวสำหรับอากาศติดลบเลขสองตัวไว้นะคะ
มีรายละเอียดเครื่องกันหนาวและที่ซื้อหลายตัวเลยค่ะ
^^
ลองดูนะคะ ^^
LikeLike
ไม่ทราบว่ามีทัวร์ที่รับจัดกันเองแนะนำมั๊ยคะ ขอข้อมูลด้วยค่า ขอบคุณค่ะ
LikeLike
จะมีหัวหน้าทัวร์ฟรีแลนซ์ที่เค้ารับจัดค่ะ แต่พี่ตี้ที่จัดให้กลุ่มของเพลินเค้าไม่รับจัดแล้ว แต่รีเฟอร์ไปให้เพื่อนแทนค่ะ รอบนี้เต็มไปแล้วเพราะเพิ่งหมดช่วงทะเลสาบน้ำแข็ง ต่อไปจะละลายแล้ว อาจต้องรอปีหน้าค่ะ ยังไงเดี๋ยวหาคอนแทคแล้วแจ้งไปอีกทีนะคะ ^^
LikeLike
ขอบคุณมากค่ะ
ว่าจะไป กุมภา 63 หรือ 64 เลยอ่ะค่า
LikeLike
เดี๋ยวเพลินส่งคอนแทคให้นะคะ ^^
LikeLike
ขอบคุณค่ะคุณเพลิน
LikeLike
ขอชื่อไกด์ท้องถิ่นหน่อยสิคะ
LikeLike
ไกด์ท้องถิ่นชื่ออิเลียค่ะ อ่านในบล็อกได้เลยค่า ^^
LikeLike
cool
LikeLike
พอดีได้เข้ามาอ่านรีวิว เขียนสนุก ชัดเจนดีค่ะ น่าไปมากกกกก พอดีจะรบกวนถามค่าใช้จ่ายทั้งหมด ค่าไกด์ และเบอร์ติดต่อหรือเฟสของไกด์อิเลียด้วยค่าาาา ขอบคุณมากนะคะ
LikeLike
สวัสดีค่ะคุณ Fon
ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ดีใจจังที่เป็นประโยชน์
ค่าใช้จ่ายรวมตั๋วเครื่องบิน ค่าไกด์ ค่าที่พัก ค่ารถ ค่ากิน ประมาณสี่หมื่นนิด ๆ ค่ะ ส่วนเรื่องไกด์ คือเรารวมกลุ่มกับเพื่อน แล้วจ้างไกด์นำทาง โดยเค้าจะประสานงานกับไกด์ท้องถิ่นที่นู่น และรถนำเที่ยวค่ะ
ไกด์ของเรา (คนไทย) ชื่อพี่ตี้ Line: tydanai ค่ะ
ตอนนี้โปรแกรมพี่ตี้อาจปรับเปลี่ยนนิดหน่อยลองสอบถามดูอีกทีได้ค่ะ
ก่อนหน้านี้มีคนทักมาถามจากรีวิวเยอะมาก ช่วงนั้นพี่ตี้ไม่ว่างจัด เค้าเลยแนะนำคุณตาลเพื่อนเค้าแทน ช่วงก่อนใครมาถามเพลินเพลินก็จะแนะนำคุณตาลไปหลายสิบคนเลยค่ะ (แต่ตัวเพลินไม่เคยไปกับคุณตาลนะคะ) ลองติดต่อทั้งพี่ตี้ ทั้งคุณตาล ก็ได้ค่ะ ไลน์คุณตาล line: inthebigmango นะคะ
ตอนเพลินไปกับพี่ตี้ พี่ตี้เป็นคนประสานกับอิเลียค่ะ
ยังไงลองถามโปรแกรมจากพี่ตี้กับคุณตาลก่อนก็ได้
ติดขัดอะไรเรื่องเตรียมตัวลองมาถามเพลินอีกได้ค่ะ ยินดีตอบ
^^
LikeLike
ตอบไวแท้ ขอบคุณนะคะ แสดงว่าคุณเพลินจ่ายค่าไกด์ 2 ต่อ ถูกมั้ยคะ ทางพี่ตี้ (หรือคุณตาล) แล้วก็เค้าก็จะดิวกะไกด์ท้องถิ่น ซึ่งเราต้องจ่ายอีกก้อน (หลังจากที่เค้าแจ้งมา) พอสามารถแยกย่อยมาได้มั้ยคะ ค่าไกด์ประมาณเท่าไหร่ค่ะทั้งคนไทยและทางนุ้น…เราเคยไปมอสโกกะเซนต์ปีเตอร์เบิร์กแล้ว ใจอยากไป Baikan กับ ล่าแสงเหนือที่ Murmansk มาก จะไปรวดเดียว ค่าใช้จ่าย เป็นลมแน่ๆ 5555 ขอบคุณมากนะคะ คุณเพลิน
LikeLike
อ๋อ จ่ายก้อนเดียวที่พี่ตี้ค่ะ ไม่ต้องจ่ายแยกให้ไกด์ท้องถิ่นแล้วค่ะ เลยไม่แน่ใจว่าค่าไกด์ทางโน้นเค้าดีลกันเท่าไหร่ อ่อ จำได้ว่าจบทริปไบคาล พี่ตี้ไปMurmansk ล่าแสงเหนือต่อเลย (ไม่กลับด้วยกัน) คุณFon ลองถามรูทพี่ตี้ก็ได้นะคะ
บอกว่ามาจากคุณเพลิน จากเที่ยวเพลิน – Ploen The Journey
ทั้งคุณตาลและพี่ตี้จำได้ค่ะ ^^
LikeLike
อ่ออๆๆๆๆ อะเครคร่าาาาา ไว้มีโอกาส ฝนทักไปที่พี่ตี้ หรือคุณตาลอีกทีนะคะ ขอบคุณมากจ้าาาาาาา ^^
LikeLike
เวลานั่งรถไกลๆ มีปัญหาเรื่องห้องน้ำไหมคะ
แล้วเวลาเดินบนน้ำแข็งลื่นมากไหมคะ กลวหกล้ม บาดเจ็บค่ะ ขอบคุณค่ะ
LikeLike
จะมีปัญหาที่หนาวมากจนไม่อยากเข้าห้องน้ำนี่แหละค่ะ จะทรมานตอนถอดเสื้อ 555 น้ำแข็งก็ลื่นค่ะ ต้องใส่ตัวกันลื่นที่พื้นรองเท้าไว้ด้วยจะเซฟสุด หรือไม่งั้นเลือกรองเท้าที่ดอกหนาๆ ค่ะ
LikeLike