เราลัดเลาะจากเหนือลงใต้มาเรื่อยๆ อากาศก็ยิ่งอุ่นสบาย แสงแดดจัดจ้า ฟ้าใสสีสด มีเมฆบางๆ ลอยพาดผ่านอยู่บางเบา
Dubrovnik ก็เช่นกัน
เมื่อพูดถึงโครเอเชีย ส่วนใหญ่แฟนของซีรี่ส์ Game of Throne มักจะนึกถึง Dubrovnik เพราะเป็นโลเคชั่นสำคัญในการถ่ายทำซีรี่ส์เรื่องนี้ (อันที่จริงเมืองอื่นๆ ในโครเอเชียก็ใช้นะคะ แต่ Dubrovnik ดังสุด)
แค่มาถึงประตูป้อมปราการสูงใหญ่ทะมึนก็รู้สึกถึงความเก่าแก่ มีความดิบแบบยุคโบราณเด่นชัด เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคกลางหรือเก่ากว่านั้นเลย
ก็เมืองนี้เก่าแก่เป็นพันๆ ปี…. นั่นแหละ
และ… เมืองนี้เค้ามีความพิเศษในความเก่าแก่นั้น
ถึงได้ชื่อว่า Pearl of Adriatic หรือมุกแห่งทะเลอาเดรียติก
สมัยโบราณมา ดูบรอฟนิกเป็นเมืองการค้ายิ่งใหญ่รุ่งเรือง ร่ำรวย เสียแต่ขาดกำลังพลในการสู้รบ เอาเป็นว่าเก่งแต่ค้าขาย เมืองก็อยู่ตรงกลาง ถูกรุกรานจากทั้งพวกอาณาจักรออตโตมัน และ เวเนเชียน ( Ventians หรือชาวเวนิซVenice) โดยออตโตมันบุกมาทางบอสเนียเพื่อยึดบอสเนียก่อนจะเข้าถึงดูบรอฟนิก ส่วนชาวเวเนเชียนบุกมาทางทะเลอาเดรียติก
ชาวดูบรอฟนิกเป็นพวกพ่อค้า มีเงินมาก จึงใช้เงินแก้ปัญหา ด้วยการยกพรมแดนเมืองนีอุมให้บอสเนียไป เพื่อบอสเนียจะได้มีทางออกทะเล บอสเนียก็ดีใจอยู่ดีๆ มีคนมายกพื้นที่ติดทะเลให้
แต่ Hidden Agenda ของดูบรอฟนิกคือเพิ่มหน้าด่านต้านศัตรูอย่างพวกออตโตมันหรือเวเนเชียน พอพวกนั้นบุกมาก็จะเจอบอสเนียก่อนตล๊อดๆ แก้ปัญหาเรื่องกำลังพลไปได้
เราเลยต้องแวะเข้าเมืองนีอุม ที่บอสเนียก่อนเพื่อทำเรื่องผ่านพรมแดน กลับออกมาเพื่อเข้าดูบรอฟนิก
รูปล่างนี้เป็นระหว่างทางจากเมืองนีอุม บอสเนีย ไป Mali Ston and Dubrovnik ค่ะ
จากบอสเนีย ผ่านมาลีสตอน เราก็มาถึงดูบรอฟนิก อากาศแห้งๆ และแดดเปรี้ยงๆ
เดินเล่นลัดเลาะในเมืองเก่าซึ่งอยู่บนเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ ต้องเดินขึ้นลงเนินไปเรื่อยๆ เห็นบ้านเรือน ร้านรวงที่สร้างจากหินเก่าแก่สีเหลืองนวล หลังคาสีส้มอิฐ ส้มแดง
แดดแรงและคนเยอะมาก
ตั้งแต่มี Game of Throne นักท่องเที่ยวก็ทะลักดูบรอฟนิก ดีที่พี่จีนยังไม่บุก
ลงบันไดมาจนสุดก็จะถึงลานกว้าง ด้านหนึ่งเป็นพระราชวัง Sponza ที่รอดจากแผ่นดินไหวปี 1667 มาได้ขณะที่สถาปัตยกรรมอื่นๆ ถูกทำลายจนต้องซ่อมแซมบูรณะในปีต่อมา
เราจะเห็นความหลากหลายของสไตล์และวัฒนธรรมผ่านสถาปัตยกรรมในดูบรอฟนิกที่มีทั้งโบสถ์ วิหารราชวัง น้ำพุแบบGothic (โกธิค) เอย Renaissance (เรอแนซซองส์) เอย จนไปถึง Baroque (บาโร้ค) อันงดงาม
หลังสงครามโลก ช่วงสงครามต่อสู้แยกดินแดนยูโกสลาเวีย สถาปัตยกรรมพวกนี้ถูกทำลายไปเกือบหมด UNESCO จึงเข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูบูรณะซ่อมแซมอีกครั้ง และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1979
อย่างที่บอกว่าดูบรอฟนิกเก่าแก่นับพันปี แต่เริ่มก่อสร้างเป็นอาณาจักรมั่นคงในช่วง ศตวรรษที่ 7 เริ่มเจริญเป็นเมืองท่าการค้าสำคัญในช่วงศตวรรษที่ 13
ส่วนกำแพงเมืองอันลือลั่นนั้นเริ่มสร้างตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 9 ต่อเติมเรื่อยมา
เมื่อมาถึงนี่เราต้องเดินขึ้นกำแพงเมือง ชมทิวทัศน์ที่ผสมผสานทั้งภูเขาและท้องทะเล และบ้านเรือนหลังคากระเบื้องดินเผาสีส้มเรียงลดหลั่นไปตามเนิน
ทุกอย่างจะเพอร์เฟ็คถ้าแดดไม่แผดจัดจนหน้าแทบไหม้!
มันร้อนจริงๆนะคะ
เห็นแสงระยิบระยับจากผืนน้ำอาเดรียติก
สงสัยเหมือนกันว่าคนที่อยู่ที่นี่กว่าจะเดินขึ้นกำแพงเมืองเข้าบ้านมาได้ ขาต้องแข็งแรงเบอร์ไหนกัน
นี่บ้านคนจริงๆ ค่ะ ตากผ้ากันจะๆ
ทะเลอาเดรียติกอันกว้างใหญ่ เห็นเกาะแก่งเล็กน้อย
ชอบตรงนี้มาก เห็นวิวจากหน้าผา สูงมาก แต่มีคนเล่นกระโดดน้ำกันหลายคนนะคะ คิดดูว่าไม่มีชายหาด เค้าก็กระโดดน้ำ ว่ายน้ำจากผากันอย่างอย่างไม่กลัว ท่าทางน้ำจะลึกมากด้วย
แต่ฝรั่งคงว่าอากาศดี sunshine น่าว่ายน้ำ
เรานี้กลัวใจ
หลังคากระเบื้องดินเผาสีส้มแดงอันเป็นเอกลักษณ์
พอเป็นขาวดำก็ได้อารมณ์อีกแบบไหมคะ
แสงอาทิตย์ตก เริ่มคลายความร้อนจากแดดจัดจ้า ลมเริ่มเย็นสัมผัสผิว
เราเดินขึ้นกำแพงเมืองและป้อมปราการอยู่นาน เพราะมันไกลมาก แดดแผดเผามาเป็นเวลาหลายชั่วโมง จึงขอลาลงกลับไปด้านล่าง เดินเล่นในเมืองสักหน่อย
ร้านขนมที่นี่ก็ขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นมาร์ชเมโลว์รูปต่างๆ ทั้งไม้กวาด ลูกเทนนิส มะม่วง
มีลูกกวาดแต่เพลินไม่ได้ซื้ออะไรค่ะ รู้สึกควรไดเอตได้แล้ว
อ้อ แล้วเค้าว่ามีร้านกาแฟอร่อยด้วย แต่เหนื่อยมากอยากทานน้ำส้ม ก็แวะคาเฟ่แถวนั้นเพื่อสั่งน้ำส้มและเอาบิลไปเข้าห้องน้ำ
แต่ถึงจะลดความอ้วนเราก็ต้องกินอยู่ดี มื้อเย็นเราเลยทานที่ภัตตาคารตรงนั้นเลย เค้าเสิร์ฟด้วยหอยแมลงภู่ชามเล็กแต่อัดแน่น อร่อยอิ่มแปล้ ตามด้วยสปาเกตตี้ และลอบสเตอร์ตัวใหญ่เท่าท่อนแขน (ดูในรูปอาจไม่รู้สึกว่าใหญ่นะคะ)
แล้วก็ชมการแสดงพื้นเมือง ร้องเพลงเต้นระบำไปด้วย
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของดูบรอฟนิก
ในเขตเมืองเก่าดูบรอฟนิกเป็นที่ตั้งของร้านขายยาเก่าที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในยุโรป มีสินค้าขึ้นชื่อคือครีมกุหลาบ ร่ำลือกันว่าใช้ดีมาก (คนละสูตรกับบัลแกเรีย, โรมาเนีย ที่ผสมโยเกิร์ต)
เพลินลองใช้คืนนั้น เนื้อครีมค่อนข้างข้น เหนียว น่าจะเหมาะกับคนผิวแห้งมากๆ
หรือทาแต่น้อย
กลิ่นก็เหมือนครีมรุ่นโบราณบ้านเรา
บอกไม่ถูก
สรุปก็เฉยๆ กับครีมตัวนี้
จบทริปดูบรอฟนิก เราก็จะลุยต่อที่ Montenegro เราจะเปลี่ยนประเทศกันละนะคะ
One Comment