จากซาดาร์ เราวิ่งลงใต้ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งจึงเข้าสู่เมือง Sibenik (ชิบินิก)
เมืองนี้มีความเป็นมรดกโลก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
และเป็นโลเคชั่นถ่าย Game of Throne บางส่วนด้วยนะ
อากาศก็เริ่มชื้นขึ้น จะมีความติดทะเลและเริ่มเห็นความคึกคักมากขึ้น ทะเลที่ว่าไม่ใช่ทะเลน้ำเค็ม แต่เป็น “น้ำกร่อย” ที่เกิดจากแม่น้ำคริกคา (Krka) ไหลมารวมกับน้ำทะเลอาเดรียติก
ท้องฟ้าสีสดไม่มีเมฆอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ และแดดก็แรงมากเช่นกัน แต่อากาศสบาย ใส่แจ๊กเก็ตบางๆ หรือไม่ต้องใส่ก็ยังได้ แนะนำเสื้อแขนยาวกันแดด กันดำค่ะ ถึงใครไม่กลัวดำ แต่ก็ควรจะกลัวมะเร็งผิวหนังนะจ๊ะ
ลักษณะเมืองของชิบินิก ทอดยาวโค้งสองด้านเป็นรูปก้ามปู และขาปูโอบล้อมแผ่นดินใหญ่ (Main land)ไว้ มีแค่ช่องแคบๆ ไว้เข้าออกเท่านั้น และเป็นทางเข้าออกเดียว (ยาว 2.5 km) ทำให้อดีต พวกออตโตมันหรือศัตรูอื่นที่ที่พยายามโจมตีจึงโจมตีไม่ได้สักที เพราะเมื่อจะเข้ามาก็ต้องผ่านส่วนที่เหมือนก้ามปูดักไว้เสียก่อน ยังไม่ทันจะลอดช่องแคบเล็กๆ เข้าไปเลยด้วยซ้ำ ศัตรูจึงเข้าถึง mainland ของ Sibenik ไม่ได้สักที
กลางศตวรรษที่ 16 ชาวเมืองจึงสร้างป้อมปราการสามเหลี่ยม St. Nicholas (St. Nicholas Fortress) ขึ้นมาอยู่หน้าช่องแคบของก้ามปูนั้นเอง เจ้าสามเหลี่ยมป้อมปราการ St. Nicholas เค้าออกแบบมาแบบไม่ธรรมดานะพูดเลย ตัวป้อมปราการออกแบบเป็นรูปทรงเหมือนหัวลูกศร เพื่อช่วยให้ยิงปืนป้องกันภัยได้รอบทิศทางมากขึ้น เพราะนอกจากจะลดความรุนแรงเวลาศัตรูยิงปืนใหญ่มา ยังช่วยให้เตรียมการป้องกัน ระวังภัยได้รอบด้านมากขึ้นด้วย
ฐานด้านล่างทำจากหิน ส่วนที่เหลือเป็นอิฐ เชื่อกันว่าอิฐนี่ทนต่อกระสุนปืน หรือแรงสะเทือนจากปืนใหญ่
และในปี 2017 ที่เพลินมาเยือนนี้เอง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนรับรองป้อมกราการ เซนต์นิโคลัสเป็นมรดกโลกด้วยความพิเศษจากที่เล่าไปข้างบนนี่แหละค่ะ และจริงๆ เค้าค้นพบโครงสร้างสำคัญในการป้องกันภัยอีก 15 ประการที่ทำให้สามเหลี่ยมป้อมปราการนี้พิเศษมากจนได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกนี่แหละค่ะ
อันที่จริงสมัยศตวรรษที่ 14-17 เป็นช่วงที่ชาวเวนิซ (Venetians) มีอิทธิพลครอบครองแถวดาลเมเชีย (บริเวณฝั่งโครเอเชียตอนล่าง ไปจนถึงมอนเตเนโกร) และต้องสร้างแนวป้องกันศัตรูสำคัญอย่างพวกเติร์ก (ตุรกี, ออตโตมัน) โดยป้อมปราการ St. Nicholas ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เพลินเป็นคนขี้ร้อน เนื่องจากแดดแรงและอากาศชื้น เลยขอรวบผมเก็บค่ะ ไม่งั้นจะรู้สึกเหนียวๆ ต้นคอ
บรรยากาศเมืองยังให้ความรู้สึกเมืองเก่า น่ารักๆ ยังเห็นความเรียบง่ายดั้งเดิมอยู่ ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงกับทะลักทลายนะคะ
ยังไม่มีคนจีนบุกในปี 2017 มากค่ะ นักท่องเที่ยวที่เห็นจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี เสียเป็นส่วนใหญ่ เลยค่อนข้างเห็นระเบียบวินัยในกลุ่มทัวร์
ต่อมาเราก็มาถึงวิหารที่เป็นมรดกโลกอีกแห่ง
St. James Cathedral หรือ Sv.Jakov Cathedral ภาษาถิ่นเรียกจาโคบ ภาษาอังกฤษคุ้นกันในชื่อเซนต์เจมส์ ขึ้นทะเบียนมรดกโลกในปี 2000
ความพิเศษของโบสถ์เซนต์จาคอบหรือเซนต์เจมส์ ที่เป็นที่พูดถึงที่สุดคือ สร้างจากหินล้วน ไม่ใช้อิฐ ไม่ใช้ไม้ ไม่ใช้อะไรเลย
สร้างจากหินล้วน ด้วยเทคนิคต่อแบบเลโก้ ไม่ใช้ตะปูเลย
รวมไปถึงเพดานโค้งนั่นด้วย!
ความพิเศษของหินก็เป็นเรื่องที่ชาวชิบินิกภูมิใจ เพราะหินที่ใช้สร้างโบสถ์นี้นำมาจากเมืองบราช (Brac) และเกาะใกล้เคียง ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งทนทาน
ที่ว่าการรัฐสภาที่บูดาเปสต์ ประเทศฮังการีก็นำหินมาจากเมืองนี้ไปสร้าง
The White House ทำเนียบขาวที่อเมริกาก็เช่นกัน
เจ้าหินนี่ก็เลยมีความสำคัญมาก
จะถ่ายรูปแต่ละทีก็ติดนักท่องเที่ยว กว่าเพลินจะหามุมที่โอเค หน้าไม่ดำ (มาก) และไม่ติดคนจนน่าเกลียดก็แทบแย่ แต่เอาเป็นว่าเราเน้นความธรรมชาติของการเที่ยว เน้นว่าเราได้ประสบการณ์อะไรบ้าง ได้เรียนรู้เรื่องราวอะไรบ้างจากสถาปัตยกรรมนี้ นอกจากความสวยของสถานที่อย่างเดียว
ความโดดเด่นอีกประการของโบสถ์นี้คือเป็นการผสมผสานศิลปะ Gothic (โกธิค) กับ Renaissance (เรอแนสซองค์) เข้าด้วยกัน สะท้อนอิทธิพลศิลปะของทางอิตาลีตอนเหนือ, Tuscany และดาลเมเชีย
คนเริ่มสร้างเป็นชาวเวนิซ หรือเวเนเชี่ยน เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1431 แต่สร้างมาสิบปีก็ยังไม่ถึงไหน คนต่อไปที่มาสร้างต่อ คือ Juraj Dalmatinac จึงทุ่มเทสร้างออกมาเป็นสไตล์โกธิค แต่ก็มีประติมากรรมบางส่วนเช่นส่วนหัวประดับด้านนอกอาคารสะท้อนความเป็นเรอเนสซองส์ออกมาบ้าง
พอพ่อหนุ่มคนนี้ตาย คนต่อไปคือ Nikola Firentinac ก็มาสานต่อด้วยสไตล์ Tuscan Renaissance จนแล้วเสร็จในปี 1536
ในโบสถ์จะมีวงร้องประสานเสียง เรียกว่า Klappa ร้องแบบ Acapella เค้าจะมาประสานเสียงร้องให้พวกเราเป็นรอบๆ และสามารถอุดหนุนซีดีรวมเพลงเค้าได้ในราคา 100 คูนา
เพราะกังวานจนขนลุกเลย เพลินเต็มใจให้ 100 คูนา และได้ซีดีรวมเพลงเค้ามาฟังเลยค่ะ
และได้ถ่ายรูปกับเค้าเป็นที่ระลึก ใครไม่ซื้อ จะไปถ่ายกะเค้าก็ต้องเกรงใจหน่อยค่ะ
(แต่เพลินซื้อ ฮ่าๆๆ เลยเดินไปอย่างมั่นใจ) แล้วดูเราสิ ตัวเตี้ยสุดเลย เหมือนหลุมตรงกลางยังไงยังงั้น
อย่างที่บอกไปข้างบนค่ะว่า โครงสร้าง รูปแบบพื้นฐานของโบสถ์จะเป็นแนวโกธิค แต่การประดับตกแต่งทั้งในและนอกอาคารจะได้รับอิทธิพลแบบเรอเนสซองส์ เจือกลิ่นอายบาโร้คมาหน่อยๆ
ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือหัวแกะสลักหน้าคนไม่ซ้ำกัน 71 หน้า! เรียงรายอยู่บนระเบียงอาคารด้านนอก
บ้างก็ว่าเป็นหน้านักบุญ บ้างก็ว่าไม่ใช่
แต่ทั้งนี้สะท้อนอิทธิพลเรอเนสซองส์ออกมาชัดเจน
ตอนลงบันไดโบสถ์กลับไปทางเดิม เห็นคนเอาน้องหมานี่มาหาเงิน ประมาณว่าถ้าถ่ายรูปหรือเล่นกับมันให้บริจาคเงิน นางก็รู้งานนะวิ่งแฮ่ๆ เหมือนจะมาเล่นด้วย
ส่วนแมวอ้วนปุกปุยนี่เป็นแมวจร มีทุกหัวระแหง
สังเกตว่าตั้งแต่เข้าโครเอเชียไปจนถึงมอนเตเนโกร มีแต่แมวจร ไม่มีหมาจร
เห็นแล้วก็นึกถึงแมวน้อยแอ๊บบี้ ลูกสาวเราที่บ้านเลย
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าลงใต้ นั่งรถอีกประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็เข้าสู่เมือง Trogir เป็นเมืองชายหาด มีเรือจอดเพียบอารมณ์ไมอามี่บีชคล้ายๆ ชีบินิก
มีประชากรน้อยแค่ 25,000 คนเท่านั้น
โทรเกียร์เป็นเมืองเก่าแก่ อายุกว่า 2500 ปี
เนื่องจากเมืองอยู่กลางระหว่างเขา เลยไม่ค่อยถูกโจมตีจากภายนอกง่ายนัก
และด้วยความเป็นเมืองเก่าแก่เป็นพันๆ ปีอย่างนั้น เลยเห็นร่องรอยสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลกรีก-โรมันโบราณ โดยเฉพาะประตูเมืองเก่า และวิหารต่างๆ
พูดถึงโทรเกียร์ คนก็จะนึกถึงโบสถ์เซนต์ลอว์เรนซ์ (St. Lawrence’s Cathedral) ที่เมื่อก่อนมีหลักฐานว่าเคยเป็นวิหารกรีก-โรมันมาก่อน
และเคยถูกชาวเวนิซทำลายช่วงต้นศตวรรษที่12 จนมาเริ่มก่อสร้างและได้รับการยอมรับ ยกย่องเป็นวิหารเมื่อราวศตวรรษที่ 13
ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานนับสิบปี มีรูปปั้นสิงโต 2 ตัวเฝ้าด้านหน้า
ที่น่าสนใจคือ สิงโตเป็นสัญลักษณ์แทนเวนิซ และคนที่ขี่หลังสิงโตสองตัวนั้น คืออดัมกับอีฟค่ะ
ถือเป็นประติมากรรมนู้ดยุคแรกๆ ของแถบดัลมาเชีย
เราจะเห็นว่าชาวเวนิซมีอิทธิพลกับดินแดนแถบนี้มาเรื่อยๆ เนืองๆ ตั้งแต่เราพูดถึงดินแดนบอลข่านอย่างสโลวิเนีย โครเอเชีย แล้วค่ะ มีอิทธิพลทั้งด้านความเชื่อ สถาปัตยกรรม ศิลปะ ศาสนา หรือการปกครอง
เซนต์ลอว์เรนซ์เป็นนักบุญองค์สำคัญประจำเมืองโทรเกียร์ โบสถ์นี้จึงสร้างเพื่ออุทิศให้ท่าน
ส่วนตัวหอนาฬิกาสร้างขึ้นในศตวรรษที่14
ทั้งตัววิหารและหอนาฬิกาได้รับการบูรณะขึ้นอีกครั้งในศตวรรษที่ 16
จะเห็นได้ว่ามีปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และบูรณะอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สร้าง
มีเรื่องเล่าของเซนต์ลอว์เรนซ์ที่ควรทราบคือ ท่านเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ ในยุคจักรพรรดิ์ดิโอคลิเชียนผู้โหดร้าย ต่อต้านคริสตศาสนาอย่างรุนแรง จับสังหารผู้ที่นับถือคริสต์อย่างเหี้ยมโหด เซนต์ลอว์เรนซ์ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกทรมานและสังหาร โดยตอนแรกถูกจับไปย่างไฟ… ย่างจริงๆ เพราะถูกนาบบนตระแกรงแล้วเอาจ่อกับเปลวเพลิง
ตามตำนานกล่าวไว้ว่าท่านร้องบอกดิโอคลิเชียนว่า ย่างข้างหนึ่งแล้วทำไมไม่ย่างอีกข้างหนึ่งด้วยล่ะ (ท้าทายนั่นเอง)ตำนานก็ต้องมีปาฏิหาริย์… เพราะปรากฏว่าท่านลอว์เรนซ์ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไฟย่างทำอะไรท่านไม่ได้
ดิโอคลิเชียนก็เลยสั่งเชือดคอเสียเลย… คราวนี้ตายจริงค่ะ
แต่นามของนักบุญลอว์เรนซ์ก็เป็นที่ยกย่อง โจษจันแซ่ซ้องและจดจำในฐานะผู้เสียสละของชาวคริสต์
โบสถ์นี้ก็สร้างเพื่ออุทิศให้ท่าน
ส่วนเจ้าประตูเมืองนี้ UNESCO เป็นผู้บูรณะค่ะ
ยังไม่เดินเล่นมาก เราหิวข้าวก็เลยแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้าน TRS ส่วนคำว่า Konoba ถ้าเพลินเข้าใจไม่ผิด น่าจะหมายถึงภัตตาคาร หรือร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย เพราะเห็นหน้าร้านหลายที่ละ (ขอไปหาคำตอบก่อน)
เพลินชอบบรรยากาศร้านนี้มาก เข้าไปปุ๊บเราจะเห็นหลังคาใบไม้แบบนี้ล่ะ แสงแดดทอลอดเข้ามาก็จะถูกร่มใบกรองไว้บางส่วน ได้แสงนวลลงอีกระดับ ดูบรรยากาศสบายขึ้นเยอะ
ด้านในก็ตกแต่งแบบโคซี่ๆ สถาปัตยกรรมที่นี่ยังคงแบบเมืองเก่าไว้คือเน้นอิฐ เน้นหิน
ของดังคือรีซอตโต้ดำ ดำนี่ดำจากน้ำหมึกของปลาหมึกเลยค่ะ
ทานข้าวอิ่มแล้วก็เดินชมเมืองย่อยอาหาร เขตเมืองเก่าของโทรเกียร์ก็มีความน่ารัก และ Touristic หน่อยๆ คล้ายๆ ชิบินิก บางคนอาจมองไม่เห็นความต่างเท่าไหร่ แต่เพลินว่าเค้าพลุกพล่านกว่าชิบินิกหน่อย
มีร้านไอติมที่ว่ากันว่าอร่อยมาก แต่เพลินอิ่มแล้วเลยไม่ได้ไปชิม
แดดแรง ฟ้าสีสดอย่างที่เห็น แต่สังเกตว่าฟ้าโทรเกียร์จะมีเมฆลอยมาบางๆ ต่างๆ จากชิบินิกที่ไม่เห็นเมฆเลยค่ะ
เดินเล่นในเมือง เมืองเค้าก็หินๆ เก่าๆ น่ารักแบบนี้ค่ะ
อดใจไม่ไหวต้องถ่ายรูปเพราะสีเสื้อเข้ากับตึก
หอระฆังประจำเซนต์ลอว์เรนซ์ตัดกับฟ้าสว่างและสีเขียวของปาล์ม
เพลินแวะซื้อฟองน้ำที่โทรเกียร์ค่ะ
ว่ากันว่าฟองน้ำจากทะเลอาเดรียติกคุณภาพดี นุ่ม และไม่มีเคมีเจือปนในแหล่งน้ำค่ะ
มีหลายขนาด หลายราคาให้เลือก เพลินก็เอาขนาดกลางๆ ราคา150 คูนามา ถือว่าแพงสำหรับบางคน โดยเฉพาะถ้าเทียบกับฟองน้ำสังเคราะห์ค่ะ
แต่เพลินถือว่าฟองน้ำจากทะเลอาเดรียติก ทีการันตีความนุ่ม และยืดหยุ่น เราก็โอเคนะ
ฟองน้ำดีๆ เราเอามาเช็ดหน้าเช็ดตัวได้ไม่ระคายเคือง
เพลินเอามาใช้เช็ดเครื่องสำอางบนหน้าแทนสำลีค่ะ
ป้อมปราการแห่งโทรเกียร์
เดินเล่นอีกพักใหญ่ เราก็แวบเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต ไปซื้อน้ำผึ้งที่มีมากมายหลายขนานก่อนอำลา มุ่งหน้าลงใต้
ไปเมือง Splitz กัน!
3 Comments